ตื่นนอนเจ็ดโมงกว่า อากาศที่นี่เย็นสบายไม่ต้องเปิดแอร์ ปกติก็เป็นคนขี้เกียจอยู่เจออากาศแบบนี้ยิ่งขี้เกียจไปใหญ่ กว่าจะลากตัวเองให้ลุกไปอาบน้ำแต่งตัวก็ปาเข้าไปแปดโมงกว่า. ลงไปทานอาหารเช้า อาหารที่นี่วางรวมไว้กลางโต๊ะให้เลือกตักกินเอง แต่ถ้าใครอยากกินไข่ เจ้าของโรงแรมก็จะทอดให้ กินข้าวเช้าและคุยกับคนที่นั่งกินอยู่ก่อนแล้ว เขาชื่อเจมส์เป็นชาวแคนาดา หลังเกษียณก็ย้ายไปอยู่เชียงใหม่ได้ 10 ปีแล้ว, อพาร์ตเมนต์ของเจมส์อยู่แถวช้างเผือก ไม่ไกลจากบ้านเรา เจมส์หลบร้อนและอากาศเป็นพิษที่เชียงใหม่มาพักที่ดาลัทมาสองสามปีแล้ว พวกเราเลยถามข้อมูลต่างๆเช่นร้านอาหาร, ธนาคารที่แลกเงินและอื่นๆอีกจิปาถะ. กินข้าวเช้าเสร็จก็ขึ้นห้อง พักผ่อน, ใช้คอม, เขียนบันทึก..
เที่ยงกว่าเริ่มหิวข้าว พากันเดินไปทางตลาดดาลัท เดินขึ้นเนินสักพักเจอร้านอาหารคาเฟ่ช๊อคโกแลต... เราสั่งเฝอมาทาน อร่อยดี ส่วนพอลสั่งแค่อาหารว่างเพราะไม่ค่อยหิว (ที่จริงอยากลดน้ำหนัก)
ทานเสร็จเดินขึ้นเนินไปอีกหน่อยก็ถึงยอดเนิน ข้ามสะพานเข้าตลาดดาลัท แล้วเดินลงไปชั้นล่างและเดินออกไปหน้าตลาดตอนแรกว่าจะเดินไปบิ๊กซีแต่พอลเริ่มปวดขาเลยขึ้นแท็กซี่กลับโรงแรม ค่าแท็กซี่ 17,000ดอง หรือประมาณ 23 บาท.
พอถึงโรงแรม เจ้าของพาขึ้นรถแท็กซี่ไปดูอพาร์ตเมนต์เพราะพวกเราต้องการย้ายมาอยู่ที่นี่... อพาร์ตเมนต์ของเจ้าของโรงแรมเป็นอพาร์ตเมนต์ใหม่ เพิ่งเปิดได้ 2 เดือน, มี 17 ยูนิต มีลูกค้าเข้าพัก 3 ราย... ห้องพักที่เจ้าของเปิดให้ดูมี 3 แบบ 3 ราคา เราชอบยูนิตที่มี 1 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ราคา 800 ดอลลาร์ แต่ถ้าเช่าเป็นปี จะได้ราคา 700 ดอลลาร์ ซึ่งเกินงบที่พวกเราตั้งไว้ไปมาก แต่ราคานี้ รวมค่าน้ำค่าไฟ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าเคเบิลทีวี เฟอร์นิเจอร์พร้อม แค่ขนเสื้อผ้าก็เข้าอยู่ได้เลย... ส่วนชั้นหนึ่งเป็นร้านขายของ จัดร้านเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ต.. ประมาณว่าถ้าย้ายมาอยู่ก็ไม่ต้องออกไปไหนเลย. นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม ขึ้นห้อง, พักผ่อน.
ตอนหกโมงครึ่งซูซานมาเคาะห้อง... ซูซานเป็นเพื่อนของพอล อยู่อิตาลี 6 เดือน และอยู่เชียงใหม่ 6 เดือน. พอรู้ว่าพวกเรามาเที่ยวเวียดนาม เธอก็วางแผนตามมาเที่ยว. พวกเราพากันไปร้านอาหารที่เจ้าของโรงแรมแนะนำ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 150 เมตร เราจำชื่อร้านไม่ได้แต่ที่อยู่ร้านคือ 186 พวกเราจึงเรียกว่าร้าน 186 ร้านนี้มีแต่คนพื้นที่มากิน ลูกค้าทุกโต๊ะสั่งเบียร์ดื่ม, สูบบุหรี่กันในร้าน และพูดคุยกันเสียงดังมากๆ ด้วยความเมา. พวกเราสั่งเนื้อย่าง, หมูทอดตะไคร้และผัดผักรวม อาหารอร่อยมาก ไม่แปลกใจเลยที่ร้านนี้มีลูกค้าคับคั่ง. ในระหว่างกินข้าวกัน มีคนมาขายหวย, ขายถั่วต้ม ที่น่าปวดหัวที่สุดคือขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าร้านมีลำโพงขนาดเขื่ออยู่หลังรถ พอคนขี่ลงจากรถก็เปิดเพลงเสียงดังมากแล้วร้องคาราโอเกะ พร้อมกับเอาขนมเข้ามาขาย เป็นมื้อเย็นที่อึกทึกที่สุด
กินข้าวเย็นที่ร้าน 168, ที่จริงร้านชื่อ Thiet 168
สั่งอาหารมาสามอย่าง เบียร์ 4 ขวด น้ำเปล่า 1 ขวด เช็คบิลที่ 242,000 ดอง หรือประมาณ 330 บาท
ร้านอาหารเสียงดังมากอยู่แล้ว เจอคันนี้มาสมทบถึงกับมึนกันเลยที่เดียว, คาราโอเกะเคลื่อนที่
คนร้องคาราโอเกะไปโต๊ะหลังสุด ร้องเพลงไป ขายขนมไป.. ประมาณว่า ‘ถ้ามึงไม่ซื้อขนม กรูไม่หยุดร้องนะเว้ย!’
จ่ายไป 20,000 ดอง ได้ขนมมาสองแท่ง
สภาพโต๊ะข้างๆ ที่เพิ่งเช็คบิลไป นี่ทางร้านเก็บโต๊ะไปบางส่วนแล้ว, ที่นี่เขาสูบบุหรี่ในร้านได้ ก้นบุหรี่เกลื่อนพื้น... ที่เขี่ยบุหรี่ไม่จำเป็น!
ภาพนี้ถ่ายโต๊ะข้างๆอีกโต๊ะหนึ่ง ดูท่าทางเป็นวัยทำงาน สั่งเบียร์มาเป็นลังๆ ขอบอกว่าน้ำแข็งที่นี่ก้อนใหญ่ได้ใจไปเลย
พอสั่งเช็คบิลแล้วก็จะเดินไปหาร้านนั่งดื่มต่อ เดินย้อนกลับมาทางโรงแรม เจอเจมส์ ก็เลยถามว่ามีบาร์ที่ไหนใกล้ๆ เขาอาสาพาไป และเข้าไปดื่มด้วยกัน ตอนนั้นสองทุ่ม ยังมีแฮปปี้เอ้าเออร์ ดื่มหนึ่งแถมอีกหนึ่ง นั่งสักพักเจมส์ขอตัวกลับก่อน พวกเรานั่งต่ออีกไม่ถึง 10 นาทีทางร้านเริ่มเปิดเพลงเสียงดังมาก คุยกันไม่รู้เรื่อง จึงสั่งเช็คบิล ปรากฎว่าทางร้านเอายอดเครื่องดื่มของเจมส์มารวมซึ่งเขาจ่ายก่อนออกไปแล้ว เราจึงท้วงพนักงาน เขาก็ตัดยอดนั้นออกไป, นี่ถ้าไม่ท้วงคงต้องโดนจ่ายเพิ่มแบบเนียนๆอีกแสนกว่าดอง. จากนั้นจึงพากันกลับ
No comments:
Post a Comment