วันที่ 5
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้หกโมงแต่จะตื่นก่อนหกโมงเล็กน้อย, ดูเหมือนว่าร่างกายจะปรับเวลาตื่นประมาณนี้ไปเสียแล้ว. หลังจากทำกิจธุระส่วนตัวประจำวันเสร็จก็ไปห้องอาหารเพื่อทานอาหารเช้า แม้ร่างกายจะปรับตัวเรื่องเวลาตื่น, แต่เวลาทานอาหารนี่ยังเหมือนเดิมเพราะทานอะไรได้ไม่มากนัก แค่น้ำส้มหนึ่งแก้ว, สลัดผักเราทานสดๆ ไม่ใส่น้ำสลัด... บางทีถ้าแฮมหรือไส้กรอกน่าทานก็จะตักใส่จานมาสองสามชิ้น และผลไม้จานเล็ก... จะให้ทานเหมือนอาหารกลางวันหรืออาหารเย็นนี่คุณท้องยังไม่เปิดทำการซะทีเดียว. วันนี้พอลแพ้อาหารหรืออะไรสักอย่างที่ทานไปทำให้สะอึกอย่างแรง แล้วพยายามดื่มกาแฟเพื่อให้หายสะอึก แต่สำลักกาแฟจนน่าตกใจ, พอสายๆ สันจมูกและเปลือกตาบวมจนปิดตาซ้ายไปเกือบครึ่ง แต่ก็ยังบอกว่าไม่เป็นไร ซึ่งก็ไม่เป็นไรจริงๆ เพราะอีกสองสามวันมันก็ยุบหายไปเอง... นี่คือเรื่องตื่นเต้นประจำวันนี้...
หลังทานอาหารเช้าเสร็จก็ออกเดินทาง วันนี้เราพวกเราจะเดินทางไป Phobjikha Valley ซึ่งเป็นหุบเขารูปแอ่งกระทะ หุบเขานี้มีชื่อเสียงเพราะเป็นแหล่งอพยพของนกกระเรียนคอดำซึ่งใกล้จะสูญพันธุ์ ปกตินกกระเรียนคอดำจะอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีนและทิเบต พอฤดูหนาวก็จะอพยพมายังที่ที่มีอากาศอบอุ่นกว่า ชมรมนักส่องนกถ้าจะมาต้องเป็นช่วงเดือนปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นไปถึงจะมีโอกาสได้ยลโฉมนกหายากชนิดนี้ นอกจากนั้นในวันที่ 12 พฤศจิกายน ของทุกปีก็จะมีงานเทศกาลนกเรียนคอดำซึ่งจะมีการแสดงระบำนกกะเรียนคอดำให้ชม งานเทศกาลใหญ่จัดที่ลานวัด Gangtey แต่ก็มีการจัดงานของหมู่บ้านทั้งหุบเขาอีกด้วย. ตอนเราไปไม่ใช่ฤดูเทศกาลของที่นี่ แต่ทัศนียภาพก็สวยงามจับใจ
ขบวนรถเราออกเดินทางจาก Kichu Resort ตอนแปดโมงเช้า เพื่อนร่วมเดินทางกลุ่มนี้ตรงต่อเวลามาก พวกเรามารวมกลุ่มกันประมาณสิบนาทีก่อนเดินทาง พนักงานโรงแรมต้องเร่งมือขนกระเป๋ามาให้คนขับรถโหลดใส่รถ แต่พอแปดโมงปุ๊บรถก็ทะยอยออกเดินทางกัน... วันนี้ถนนซ่อมเกือบตลอดทาง, ใช้คำว่าทำถนนใหม่ดีกว่า เพราะเป็นการขยายเส้นเดิมให้กว้างขึ้นแทบไม่เห็นเค้าเดิมของถนนเดิมเลยทีเดียว...
 |
ถนนเรียบแม่น้ำ Dang Chu (Chu แปลว่า แม่น้ำ) |
 |
ขับข้ามสะพานเพื่อข้ามแม่น้ำ Dang Chu |
 |
สภาพไฮเวย์หลัก... ตอนนี้กำลังขยายถนนให้กว้างขึ้น |
 |
เราเลือกฝั่งนั่งได้ดีมากๆ... ลุ้นระทึกตลอดสาย, ถ้าดูในรูปจะเห็นรถกำลังขับสวนมา...หายใจไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว |
 |
รูปนี้ถ่ายแบบพาโนราม่า, คลิ๊กเพื่อขยายดู...สวยมากๆ |
 |
ภูเขาซ้อนกันเป็นชั้นๆ เหมือนเราวาดตอนเด็กๆ ไม่นึกว่ามันจะมีอยู่จริง. |
 |
ที่นี่ทำนาขั้นบันได... แต่ไม่ใช่ไร่เลื่อนลอย... สวยถึงขึดสุด 5555 |
 |
สวยจนแทบจะหยุดถ่ายไม่ได้ |
 |
ตรงนี้ขับผ่านแม่น้ำสายเล็กๆ ไม่อยากจะคิดถึงตอนน้ำป่าไหลหลาก.... |
หลังจากนั่งรถประมาณสองชั่วโมงครึ่ง ก็จอดแวะหมู่บ้านข้างทางเพื่อถ่ายรูปเด็กนักเรียนตรงหน้าตลาด ซึ่งมีร้านค้าประมาณสองสามร้าน ผู้คนที่นี่เป็นมิตร และน่ารักมากๆ ถ้าเราขอถ่ายรูปโดยมากเขาจะโพสท์ท่าให้ถ่ายรูปเลย โดยเฉพาะเด็กๆ บางคนถึงกับมาขอให้เราถ่ายภาพเขาเลยทีเดียว. ผู้คนโดยมากจะใส่ชุดประจำชาติ ผู้ชายจะใส่โก๊ะ (Kho) ผู้หญิงจะใส่คีร่า (Kira) ชุดนักเรียนก็เป็นชุดประจำชาติ. ที่เชียงใหม่นักเรียนใส่ชุดพื้นเมืองเฉพาะวันศุกร์ เราคิดว่าชุดพื้นเมืองดูสวยกว่าเครื่องแบบนักเรียนเป็นไหนๆ
ถ่ายรูปเด็กๆ หน้าตลาดจนหนำใจแล้วก็นั่งรถต่อประมาณสิบนาทีก็จอดแวะจิบชา,แทะบิสกิต และถือโอกาสเข้าห้องน้ำ เรารีบดื่มรีบเข้าห้องน้ำแล้วออกไปเดินรอบๆ เพื่อหามุมถ่ายภาพ บ้านเรือนที่นี่สวยงาม วิวของแต่ละบ้านที่มองออกมาก็คงสวยไม้แพ้กัน. ดื่มด่ำกับบรรยากาศจนเต็มปอดก็ออกเดินทางต่อ นั่งรถสักพัก, รถกลุ่มของเราคันหน้าจอดแล้วคนในรถก็รีบออกมาถ่ายภาพ รถที่ตามมาก็จอดกันเป็นแถว เราลงมาก็เห็นค่างขาว (White Langur)... อยู่บนต้นไม้ฝูงย่อมๆ ประมาณ 20-30 ตัว เราพยายามถ่ายภาพ แต่เลนส์กล้องซูมได้สูงสุดแค่ 135mm. เลยทำให้ไม่ได้ภาพสวยแม้แต่ภาพเดียว (อันนี้โทษอุปกรณ์ 555)
 |
ตลาดข้างทางในหมู่บ้านเล็กๆ ระหว่างทางไป Phobjikha Valley |
 |
คนกลางนี่ซ่าสุดในกลุ่ม |
 |
ถ่ายภาพเหรอ...ไม่มีเขิล, โพสท์ท่าให้ถ่ายภาพทันใด. |
 |
โรสซี่, เพื่อนร่วมขบวนมีลูกโป่งฟองสบู่มาให้เด็กเล่น. |
 |
บ้านข้างตลาด |
 |
หลังจากดื่มชาก็ออกมาหลังร้านถ่ายภาพวิว, อากาศเย็นสบายมากๆ |
 |
จานรับสัญญาณทีวี |
 |
คาราวานของเราจอดรถเพื่อถ่ายรูปค่างขาว รถโดยสารประจำทางต้องค่อยๆ ขับผ่านเพราะถนนแคบมากๆ |
 |
ภาพนี้ซูมสุดได้แค่นี้...ต้องเก็บเงินซื้อเลนส์ที่ดีกว่าแล้วหล่ะ |
ขับรถต่อประมาณครึ่งชั่วโมงก็เลี้ยวทางเข้า Phobjikha Valley และแวะถ่ายรูปเพิงคนเลี้ยงจามรี ตอนนี้เขาปล่อยจามรีออกไปกินหญ้าตอนเย็นถึงจะต้อนกลับคอกซึ่งทำจากกิ่งไม้มาวางล้อมกันแบบหยาบๆ เราเข้าไปขอถ่ายรูปกับภรรยาคนเลี้ยงจามรีซึ่งกำลังทอขนจามรีด้วยเครื่องทอที่ทำจากไม้กิ่งไม้อย่างง่ายๆ
ขับรถต่ออีกไม่นานก็ถึงวัด Gangtey สถานที่จัดงานเทศกาลนกกระเรียนคอดำที่กล่าวไว้ในตอนต้น. มีชาวบ้านมาแสวงบุญอยู่มากมายพอสมควร แต่นักท่องเที่ยวนี่มีแต่กลุ่มเรา. เดินผ่านซุ้มประตูวัดก็เป็นลานวัดอันกว้างขวาง เราได้แต่เดินรอบวิหารภายนอกเพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว และเราจะเดินไปบ้านชาวนาเพื่อไปทานอาหารกลางวัน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินประมาณสองชั่วโมง. พอลจะนั่งรถไปกับ Sangay คนขับรถเพราะไม่อยากเดินขึ้น, ลงเนินเขา ส่วนเราจะเดินเลาะไหล่เขา ผ่านป่าสน ไปกับ Phub Dorji ไกด์ประจำวันนี้. Phub Dorji อายุ 30 ปีเท่าน้องคนสุดท้องของเรา มีลูกสาวหนึ่งคนอายุเกือบสองขวบ, เหมือนน้องคนสุดท้องของเราอีกแระ และก็เป็นไกด์เหมือนน้องคนสุดท้องของเรา... เราเดินผ่านหมู่บ้าน, ผ่านป่าสน, ผ่านลำธาร, ผ่านทุ่งหญ้า เริ่มหิวเล็กน้องเพราะตอนนั้นเกือบบ่ายสองแล้ว แต่ทัศนียภาพอันสวยงามทำให้ถึงกับลืมหิวไปเลยทีเดียว
พอถึงบ้านชาวนา ก็มีบันไดปีนรั้วเข้าไป... ที่จริงมีประตูรั้วเป็นไม้พาดธรรมดา แต่ไกด์อยากให้ได้ลองวิถีชาวบ้าน เพราะที่นี่เขาปีนรั้วเข้าบ้าน ประตูไม้พาดเปิดใช้เมื่อต้อนวัวเข้าโรงนา. พื้นที่บริเวณบ้านประมาณ 3-4 ไร่ ตัวบ้านหลังใหญ่พอสมควร ตัวบ้านมี 2 ชั้น ชั้นล่างพื้นเป็นดิน ไม่ได้ปูพื้น บันได้ขึ้นชั้นสองเป็นไม้แผ่นใหญ่แล้วเจาะเป็นขั้นบันได ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพาดบันได้ให้ชันขนาดนั้น, คุณตาคุณยายเจ้าของบ้านก็ค่อนข้างจะสูงอายุแต่แข็งแรงมากๆ แต่ถึงกระนั้นก็อาจพลาดบ้างก็ได้... ชั้นสองเป็นพื้นไม้ ที่ภูฏานการตัดไม้มาสร้างบ้านเป็นเรื่องถูกกฏหมายแต่ต้องขออนุญาตจากทางการ ป่าไม้ของภูฏานยังเหลือเจ็ดสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ และรัฐบาลมีนโยบายให้คงป่าไม้ไว้อย่างต่ำ 65 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ ดังนั้นทรัพยากรป่าไม้จึงยังคงมีมากเกินกว่าความต้องการใช้
เจ้าของบ้านชาวนาเตรียมอาหารไว้แบบบุ๊ฟเฟท์ ใครมาถึงก่อนก็ตักทานตามอัธยาศัย ทานเสร็จคุณยายเจ้าของบ้านก็เอา Ara เป็นสุรากลั่นพื้นเมือง (เหล้าขาวเราดีๆ นี่เอง) บรรจุอยู่ในขวดพลาสติกหน้าตาคล้ายแกลลอนน้ำมันยังไงหยั่งงั้น ขอกระซิบว่าเหล้าขาวบ้านเรารสดีกว่า อิ..อิ.. จากนั้นเราขอไกด์พาขึ้นไปห้องใต้หลังคาที่พื้นเป็นไม้ ปูด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะแล้วโบกทับด้วยดินเหนียว วิวจากห้องใต้หลังคานี่สวยสุดยอดมากๆ
หลังจากปีนเป็นลิงเป็นค่างไปทั่วบ้านชาวนาก็เดินต่ออีกประมาณ 1 กิโลเมตรไปวัด Khewa สร้างเมื่อศตวรรษที่ 14 พอเดินถึงวัดฝนก็กระหน่ำตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง สักพักก็ค่อยซาลง เราเข้าไปในวิหาร ไกด์บอกว่าวัดนี้ถ่ายภาพข้างในได้เพราะทัวร์ของเราเป็นสปอนด์เซอร์ แต่ห้ามถ่ายองค์พระพุทธรูป เราถ่ายแค่สองสามภาพเพราะไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาและข้างในก็ค่อนข้างมืด, ถ่ายภาพออกมายังไงก็ไม่สวย... ฟังพระสวดมนต์ได้สักพักก็เดินไปหลังวัดซึ่งเป็นโรงงานผลิตธูปหอม วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเป็นพืช, เปลือกไม้ และสมุนไพรที่หาได้ในภูฏาน แล้วแต่ผู้ผลิตว่าจะเลือกวัตถุดิบชนิดไหนมาผสมกัน
 |
ใกล้กับกลุ่มเราที่ยืนอยู่คือกระท่อมของคนเลี้ยงจามรี, ที่คล้ายพุ่มไม้ข้างกระท่อมนั่นคือคอกจามรี |
 |
กระท่อมคนเลี้ยงจามรี, ที่แขวนไว้นั่นคือขนหางจามรี |
 |
ขอถ่ายกับภรรยาคนเลี้่ยงจามรีซึ่งกำลังทอผ้าจากขนหางจามรี |
 |
ขณะเดินกลับก็สวนกับกลุ่มของเราที่เพิ่งมาถึง, แม้จะขับตามๆ กันมา แต่บางคันก็จอดถ่ายรูประหว่างทาง. |
 |
จามรีที่คนเลี้ยงปล่อยให้เล็มหญ้าที่เนินเขา |
 |
ดอกกุหลาบป่า... บนดอยอินทนนท์ที่เชียงใหม่ก็มีเน้อเจ้า... |
 |
ภาพวาดฝาผนังตรงซุ้มประตูเข้าวัด |
 |
ลานวัด Gangtey ที่มีการจัดแสดงเทศกาลนกกระเรียน ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน |
 |
ที่เหมือนสถูปนั่นเป็นที่จุดธูปบูชา เขาจะสุมไฟแล้วใช้กิ่งสนสดยัดเข้าไปให้เกิดควันหอม |
 |
ผู้คนมาหมุนกงล้อสวดมนต์ในชุดประจำชาติ, ด้วยศรัทธาแห่งพุทธศาสนาที่แรงกล้า... |
 |
อยากจะบอกว่า.. จะหันไปทางไหน, จะถ่ายรูปอะไรก็ออกมาดูดีมีฐานะไปซะหมด...อิ..อิ.. |
 |
ขออีกภาพสำหรับผู้คนที่มาสวดมนต์... |
 |
จุดตะเกียงเนย (Butter Lamp) เราจุดเมื่อขึ้นวัดถ้ำเสือที่พาโรแล้ว |
 |
สมัยก่อนตะเกียงเนยทำมาจากนมจามรี, แต่ปัจจุบันมีการใช้น้ำมันพืชหรือเนยจากนมโคเป็นส่วนมาก |
 |
เดินจากวัด Gangtey ไปบ้านชาวนา, เจอสองสาวน้อยเลยขอถ่ายรูป |
 |
ถนนตัดลำธาร, ไม่มีการใช้ท่อใดๆ ทั้งสิ้น, ธรรมชาติมากๆ |
 |
เรากระโดดลงข้างลำธารเพื่อถ่ายภาพนี้, ของจริงสวยมากๆ.. |
 |
วันนี้มีรูปเราเยอะมาก, เพราะไกด์ Phub Dorji คอยถ่ายให้ตลอด..และฝีมือดีมากๆ |
 |
เจดีย์กลางถนนในหมู่บ้านกลางหุบเขา Phobjikha.... ขอบอกว่า, ถึงไซด์จะเล็กแต่ใหญ่คับถนนเลยทีเดียว |
 |
เริ่มเดินเข้าป่าสน... อร๊าย, ใครจะฉุดเราหรือเปล่าเนี๊ยะ... เสียดายไม่ได้เตรียมบัตรคิวไป 5555 |
 |
ตอนนี้อยู่ในป่าสนแล้ว..แต่อยู่ตรงขอบๆ ป่า จึงเห็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ด้านล่าง |
 |
นี่คือมุมมองเมื่อโดนฆ่าหมกศพในป่าสน... |
 |
พอพ้นป่าสนออกมาก็เดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา, วิว 180 องศานี่สวยมากมาย...ตะลึงจนลืมถ่ายพาโนราม่ามาให้ดู... |
 |
ที่เห็นอาคารลิบๆ ตรงเกือบกลางภาพนั่นคือวัด Khewa.. ดูแล้วคิดว่าไม่ไกล, แต่จากจุดนี้เดินไปวัดประมาณ 45 นาทีเลยทีเดียว |
 |
ไกด์ Phub Dorji ไกด์ประจำวันวันนี้... อายุ 30... เรา 42... ขอแอ๊ปเป็นรุ่นเดียวกันได้มะเนี๊ยะ |
 |
สถูปหินก่อนเข้าเขตหมู่บ้าน |
 |
เดินเข้าเขตหมู่บ้านแล้วหันกลับไปถ่ายสถูป...โห, เดินมาตั้งไกล พอถ่ายรูปมาดูเหมือนใกล้ยังไงไม่รู้... |
 |
รั้วที่นี่ไม่ได้มีไว้กันขโมย, แต่มีไว้ไม่ให้วัวหนีออกไปเที่ยว..ภาพนี้ปีนรั้วเข้าบ้าน.. |
 |
จะถ่ายประตูบ้านแต่ไกด์ขี้เล่นโผล่หน้ามาติดในรูปเราทุกรูป... |
 |
บันไดทำจากไม้แผ่นเดียว...บันไดชันมาก, ขึ้นลงไม่ระวังมีสิทธิ์ตกลงมาแขนขาหักได้... |
 |
หลังทานอาหารเสร็จ, คุณยายเจ้าของบ้านก็เอาอาร่า (Ara) เหล้าขาวเวอร์ชั่นภูฏานมาให้ดื่ม |
 |
นี่คือห้องใต้หลังคา, มีบันไดปีนขึ้นหิ้งเก็บของ |
 |
พื้นห้องใต้หลังคาเป็นไม้ปูด้วยไม้ไผ่สานขัดแตะ แล้วโบกทับด้วยดินเหนียวเพื่อให้บ้านอุ่นในหน้าหนาว |
 |
วิวจากห้องใต้หลังคาของบ้านชาวนา, มองไปที่สถูปหิน... |
 |
ออกจากบ้านชาวนาก็เดินมาที่วัด, ใช้เวลาประมาณ 15 นาที... นี่คือรั้วข้างวัดสำหรับคนเดินเข้าออก, ออกแบบให้วัวเข้าไม่ได้. |
 |
ภายในวิหารวัด Khewa..ปกติจะไม่ให้ถ่ายรูป, แต่คณะของเราเป็นสปอนด์เซอร์ให้วัดนี้..จึงถ่ายรูปได้, แต่ห้ามถ่ายพระพุทธรูป. |
 |
หลังวัดเป็นโรงงานผลิตธูป |
 |
Phub Dorji อธิบายถึงวัตถุดิบที่ใช้ทำธูป... เปลือกไม้ และสมุนไพรแต่ละชนิดให้กลิ่นที่แตกต่างกัน |
 |
ผงไม้จันทร์นำเข้าจากอินเดียเป็นส่วนประกอบสำคัญ |
ชมโรงงานธูปเสร็จก็เดินทางต่อไปศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นกกระเรียนคอดำ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล, นั่งรถประมาณ 10 นาทีก็ถึง ภายในศูนย์ไม่มีนักท่องเที่ยวคนอื่น มีแต่กลุ่มของเรา 6 คน บางส่วนยังคงอยู่ที่วัด Khewa เมื่อเข้าไปข้างในก็อ่านข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับนกกระเรียนคอดำ สักพักไกด์ก็พาเราไปห้องชมการแสดงแสงสีเกี่ยวกับนกกระเรียนคอดำว่ามีแหล่งที่มาจากไหน พร้อมทั้งประวัติพิธีกรรม, เทศกาลและความเชื่อเกี่ยวกับผู้คนที่นี่ที่มีความผูกพันธ์กับนกกระเรียนคอดำ ประมาณ 20 นาที การแสดงแสงสีก็จบลง แล้วไกด์ก็พาไปดูนกกระเรียนคอดำปีกหักที่ทางศูนย์เลี้ยงไว้ เพราะมันไม่สามารถบินกลับไปทิเบตกับฝูงของมันได้ เห็นแล้วน่าสงสารมาก.
จากนั้นเดินกลับมาขึ้นรถเพื่อเดินทางไปโรงแรม นั่งรถประมาณ 15 นาทีก็ถึงโรงแรมซึ่งอยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน. เนื่องจากเหนื่อยมากจึงไม่ไปล๊อบบี้, ให้ไกด์ไปเอากุญแจ และพนักงานสาวสองคนของโรงแรมก็มาช่วยขนกระเป๋า..เราจะช่วยก็ไม่ยอมอีกตามเคย เมื่อถึงห้อง, พนักงานโรงแรมช่วยจุดเตาผิง... ห้องกว้างขวาง เพดานสูง พื้นเป็นไม้ แต่ในห้องน้ำพื้นเป็นกระเบื้อง, เย็นมากๆ ดีที่เอารองเท้าแตะไปด้วย วิวจากหน้าต่างห้องสวยมากๆ เสียดายที่อยู่ชั้นหนึ่ง ถ้าได้ชั้นสองนี่จะเพอร์เฟ็กซ์สุดๆ แต่ชั้นหนึ่งก็ดี, เพราะเหนื่อยจากการเดินมาทั้งวัน จนไม่อยากขยับตัวเลย
หนึ่งทุ่มไปห้องอาหารเพื่อทานอาหารเย็น อาหารเป็นบุฟเฟ่ท์เช่นเคย ค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต้องจ่ายเอง ทานเสร็จนั่งคุยกันสักพักเราต้องขอตัวแล้ววิ่งกลับห้องอย่างด่วน... ข้าศึกโจมตี... กุญแจหน้าห้องก็เปิดยากมาก... ไม่ทันเสียแล้ว สรุปว่าต้องซักกางเกงในและกางเกงยีนส์ซะงั้น ดีนะที่เวลาไปเที่ยวเราจะเตรียมน้ำยาซักแห้งไปด้วยเสมอ ซักเสร็จก็เอาไปผึ่งข้างเตาผิงแล้ววไปอาบน้ำ จากนั้นก็เขียนบันทึกการเดินทางประจำวัน แล้วก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย.
 |
ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว นกกระเรียนคอดำ แห่ง Phobjikha Valley. |
 |
ภาพทิวทัศน์ถ่ายจากเนินเขาข้างศูนย์ก่อนเข้าไปชมการแสดงแสงสีเสียง... ถ่ายเสร็จฝนก็ตกทันที, วิ่งหลบฝนแทบไม่ทัน |
 |
ไกด์ Rinzin แต่งตัวเป็นนกกระเรียนคอดำมาโพสท์ท่าให้เราถ่ายรูป |
 |
นกกระเรียนคอดำปีกหัก ไม่สามารถบินไปทิเบตกับฝูงได้ ทางศูนย์ได้ช่วยดูแล...รอจนกว่าปีหน้าฝูงจะมาเยี่ยม... |
 |
ออกมาจากศูนย์นกกระเรียนคอดำ ท้องฟ้าก็เริ่มเปิด... เป็นภาพที่สวยงามจับใจมากจริงๆ |
 |
พนักงานขนกระเป๋าที่ภูฏานโดยมากใช้ผู้หญิง... จะช่วยก็ไม่ยอมให้ช่วย... |
 |
ห้องนอนคืนนี้ |
 |
วิวถ่ายจากหน้าต่างในห้อง, ห้องไม่มีระเบียง กระจกหนา 2 ชั้นเพราะอากาศหนาวมาก |
 |
น้องเขาบริการจุดไฟให้, และยังเปิดเครื่องทำความร้อนติดผนังให้อีกด้วย. |
 |
ถ่ายจากเก้าอี้ข้างหน้าต่าง... ห้องพักไม่มีตู้เย็น, ไม่มีทีวี... มี Wifi แต่ช้ามาก..ไปภูฏานไม่ค่อยได้ใช้อินเตอร์เน็ต |
 |
ห้องน้ำ... |
จบภูฏานทริป วันที่ 5
ไกด์: Phub Dorji
คนขับ: Sangay
ที่พัก: Denwachen Hotel