Thursday, April 14, 2016

2016-04-14 Bhutan Trip -- Paro to Thimphu

วันที่ 3

แพ็คกระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว  เพราะเมื่อวานกลับห้องตั้งแต่ตอนบ่ายก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย  มีเวลาเหลือเฟือ  น่าแปลกใจที่เวลาไวเหมือนโกหก  ใช้เวลา 16 ชั่วโมงอยู่ในห้อง  ไม่ได้ใช้อินเตอร์เน็ตด้วย (มี Wifi แต่ช้ามาก) แค่นั่งชมวิวที่ระเบียง, จดบันทึกเรื่องราวไว้ในไดอะรี่เล่มเล็กของเรา... จะให้พิมพ์ใน iPhone ก็ไม่ถนัด.  อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เอ้อระเหยลอยชาย นั่งจิบกาแฟที่ระเบียง แม้จะหนาวมากๆ แต่ก็อยากซึมซับบรรยากาศให้ได้มากที่สุด  จนกระทั่งเจ็ดโมงครึ่งถึงไปห้องอาหาร  ทานอาหารเช้ากับกลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งแต่ละคนก็เล่าประสบการณ์เมื่อวานว่าใครไปไหน, ถ่ายรูปอะไรมาบ้าง... ฟังแล้วก็เสียดายที่เมื่อวานไม่ได้ไปเดินในเมืองพาโร... แต่ไม่เป็นไร, เราอธิฐานที่วัดถ้ำเสือให้ได้กลับมาอีกครั้ง...จะไปเดินชมเมืองพาโรครั้งหน้าก็แล้วกัน.

เก้าโมงเช้ารถออก ตามๆ กันไปเป็นขบวน  อย่างที่เคยเกริ่นไว้แล้วว่ากลุ่มทัวร์ใช้รถแยกกัน คันหนึ่งมีผู้โดยสารสองคน ไกด์หนึ่งคน และคนขับรถหนึ่งคน  เวลาออกรถจะออกพร้อมๆ กัน แล้วก็แยกย้ายกันไปเที่ยวและจะนัดเจอกันเฉพาะตอนทานอาหาร  นั่งรถจากโรงแรมเข้ามาในเมืองประมาณ 15 นาที  แวะถ่ายรูปกับ Rinpung Dzong (Paro Dzong) ตรงด้านที่มีสะพานข้ามแม่น้ำพาโร แล้วขับรถต่อไปตามทางหลวงซึ่งเป็นถนนลาดยางไม่กว้างมากนัก มีสองเลนส์ขับสวนกันคล้ายทางหลวงชนบทบ้านเรา  บางช่วงกำลังซ่อมแซม  ขับต่อมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็แวะถ่ายรูปสะพานเหล็กข้ามแม่น้ำพาโรไปวัด Tamchoe วัดนี้อยู่บนเขา  จุดประสงค์หลักที่แวะถ่ายรูปคือสะพานเหล็ก  สะพานนี้สร้างเมื่อ ศตวรรษที่ 15 สร้างมาพร้อมๆ กับวัด  ผู้สร้างคือ Tangthong Gyalpo... เป็นสถาปนิคและโยคีผู้สร้างสะพานเหล็กหลายแห่งในภูฏาน  ดังนั้นคนจึงรู้จักท่านในนาม Chakzampa หรือแปลว่า Iron chain maker - ช่างทำสะพานโซ่เหล็ก.  ภายในอาคารยึดปลายสะพานทั้งสองฝั่งมีรูปวาดสีสรรสดใส  ไม่แน่ใจว่าเก่าขนาดไหน  รู้แต่ว่ามีการลงสีซ้ำซึ่งดูฉูดฉาดตามสไตล์จิตรภูฏาน ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากธิเบต

ตื่นแต่เช้ามานั่งจิบกาแฟที่ระเบียง, อากาศหนาวมาก  แต่ขอซึมซาบเก็บบรรยากาศให้ได้มากที่สุด...

ป้ายทางเข้าโรงแรม, ถ่ายภาพนี้ตอนที่ลาจาก...

แวะถ่ายรูปกับ Rinpung Dzong (Paro Dzong) ฝั่งที่มีสะพานข้ามแม่น้ำพาโร, สวยมากๆ

เพิ่งฉลองครบรอบ 12 ปีที่อยู่ด้วยกันมา เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา... เดี๋ยวนี้ถ่ายรูปยืนซะห่างเลย.

ไกด์ Yonten ซ้ายสุดและพนักงานขับรถ Kinley, ไกด์และคนขับประจำวันนี้ให้มาร่วมเซลฟี่

สะพานเหล็กข้ามแม่น้ำพาโรไปวัด Tamchoe สร้างในศตวรรษที่ 15

อาคารยึดปลายสะพานทั้งสองฝั่ง

โซ่ยึดนี่ original จากศตวรรษที่ 15 เลยทีเดียว

ปีนขึ้นชั้นสอง มาถ่ายรูปตรงช่องลม, ขอติสท์ นิดส์หนึ่ง.

ภาพวาดพระทั้งสามภพ...พระพุทธเจ้าในอดีต, ปัจจุบันและอนาคต... ถ้าเราเข้าใจผิดช่วยคอมเม้นท์แก้ไขด้วยนะค่ะ.

ส่วนที่เป็นโซ่เหล็กโยงทั้งสองอาคารเป็นของเดิมจากศตวรรษที่ 15 ตะแกรงนี่
ซ่อมแซมเสริมแต่งมาเรื่อยๆ (ไม่ใช่ของเก่า)

Prayer flags or Mantra flags คือบทสวดมนต์ที่เขียนไว้บนผืนผ้าแล้วนำไปไปขึงไว้ตามยอดเขาและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์.
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Prayer flags เข้าไปอ่านได้ที่นี่ https://en.wikipedia.org/wiki/Prayer_flag  

ฝั่งนี้เป็นสะพานสร้างใหม่, คนงานกำลังตอกแผ่นไม้ทางเดิน.

ขับรถต่ออีกประมาณ 10 นาทีก็ถึงสะพานข้ามแม่น้ำ Wang Chu (Chu แปลว่า แม่น้ำ) ซึ่งเป็นแม่น้ำที่เกิดจากการรวมตัวกันของแม่น้ำสองสายคือ Paro Chu และ Thimphu Chu ณ จุดที่แม่น้ำรวมตัวกันเป็น Wang Chu มีเจดีย์ 3 องค์ซึ่งแต่ละองค์เป็นสถาปัตยกรรมต่างกันคือ แบบเนปาล, แบบภูฏานและแบบธิเบต.  

เมื่อข้ามสะพานไป รถต้องจอดเพื่อประทับตรานักท่องเที่ยว  โดยปกตินักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยวภูฏานจะต้องมี Route Permit ที่บริษัททัวร์เขาเตรียมให้  และไม่สามารถเดินทางไปในเขตที่ไม่ได้ขอ Route Permit ไม่ได้.  หลังจากได้รับตราประทับก็นั่งรถต่ออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ก็ถึง Thimphu  ระหว่างทางเห็นร้านขายของอยู่เป็นระยะ, ไม่เห็นบ้านคนแถวนั้นเลยจริงๆ  อารมณ์คงประมาณขับรถไปเชียงราย  จู่ๆ ก็มีร้านเพิงหมาแหงนขายเห็ดถอบ, น้ำผึ้งป่า อะไรทำนองนั้น.  วันนี้นั่งรถก็จะเห็นตำรวจอยู่เป็นระยะ  ด้วยความแปลกใจว่าประเทศที่มีอาชกรรมต่ำทำไมต้องคุ้มกันนักท่องเที่ยวถึงขนาดนี้ จึงถามไกด์ Yonten ว่าเป็นเพราะเหตุใด? คำตอบที่ได้คือ ปกติแล้วก็จะไม่มีตำรวจอย่างที่เห็น  แต่วันนี้เจ้าชายวิลเลี่ยมจะเสด็จเยือนภูฏาน, เครื่องลงที่สนามบินพาโรและจะนั่งรถมาทิมพู... คำตอบกระจ่ายนะค่ะ.

แม่น้ำทางซ้ายคือ Paro Chu ทางขวาคือ Thimphu Chu, รวมกันเป็น Wang Chu ตรงที่เรายืนถ่ายนี่เป็นสะพานข้าม Wang Chu.

นี่คือ Wang Chu ถนนที่เห็นด้านบนขวานั่น ถ้าขับไปอีกประมาณ 140 กิโลเมตรก็จะถึงชายแดนอินเดีย 

คือ แบบว่า... ไม่มีบ้านเรือนอะไรเลย  จู่ๆ ก็มีร้านเพิงหมาแหงนอยู่เป็นระยะ...

ขาวๆ ที่แขวนนั่นคือ Yak cheese ตากแห้ง  เห็นไกด์และคนขับเอามาอมเล่นให้มันค่อยๆ ละลาย, ขอบอกว่าแข็งมากๆ

เห็นตำรวจเป็นระยะ, นึกว่ามาอำนวยความสะดวกให้เรา.  หามิได้, มาอำนวยความสะดวกให้เจ้าชายวิลเลี่ยมตะหาก

พอมาถึงทิมพู  ที่แรกที่ไปคือ Thimphu institute for Zorig Chusum  https://en.wikipedia.org/wiki/Bhutanese_art  เป็นโรงเรียนสอนและพัฒนาฝีมือช่างฝีมือในด้านงานศิลปะหัตถกรรมทุกแขนง  ทั้งงานแกะสลักไม้, งานวาด, งานปั้น, งานทอ ฯลฯ อารมณ์ประมาณศูนย์ศิลปาชีพบางไทร.  เดินชมจนเกือบทุกห้อง..ที่ไม่ครบทุกห้องเพราะมีเยอะมาก  และตอนนั้นก็เที่ยงแล้ว...เริ่มหิวข้าว  แต่ไกด์พาไปตรงกันข้ามโรงเรียน  เป็น Zangay Art&Craft เห็นบอกว่าเป็นร้านที่เอาผลงานนักเรียนนักศึกษาจากโรงเรียนที่เราเดินชมเมื่อสักครู่นี้มาจำหน่าย  ราคาสินค้าค่อนข้างสูง หรือสูงมากเลยทีเดียว  แต่เพื่อนเป็นการสนับสนุนการศึกษาเราเลยซื้อคีร่า (ชุดประจำชาติของผู้หญิง) มาหนึ่งชุด  เอาไปให้พี่สาวสุดที่รักที่กรุงเทพฯ

Thimphu institute for Zorig Chusum โรงเรียนสอนงานศิลปะหัตถกรรม

ไกด์ Yonten นำชมห้องเรียนแกะสลักไม้  อารมณ์ประมาณบ้านถวาย

นี่พวกเด็กใหม่, หัดแกะสลักขั้นพื้นฐาน... นั่งอ้าขนาดนั้นนี่เจ๊คิดนะค่ะ...  แถมพนักเก้าอี้ยังแอบบอกรักเราอีก เหอะๆ...

งานแกะสลักฝีมือนักศึกษาแขวนโชว์ที่ผนังห้องเรียน, สวยดี.

นี่ห้องเรียนเย็บปักถักร้อย  ชุดประจำชาติก็สอนเย็บที่นี่

เตรียมผ้าเป็นส่วนๆ แล้วค่อยเอาไปประกอบร่าง

กำลังปักผ้าเพื่อเอาไปตกแต่งชุด

ขอถ่ายใกล้ๆ น้องเขาก็ช่วยคลี่และจับผ้าให้เราถ่ายรูปได้ง่ายๆ  ไม่ได้ถามว่านี่รูปหงษ์, ไก่ฟ้า หรือรูปนกอะไร?

ห้องเรียนปั้น

ห้องเรียนวาดภาพ

หลังจากซื้อของเสร็จก็นั่งรถต่อขึ้นไปบนเนินเขา  ประมาณ 40 นาทีก็ถึง Jigme Dorji National Park  ข้ามสะพานไปฝั่งวัด Chagri Dorjeden  แล้วไปทานอาหารเที่ยงแบบ Picnic ข้างแม่น้ำทิมพู  ได้บรรยากาศดีมาก  ทานอิ่มฝนก็ตกไล่  ยังไม่ทันได้ถ่ายภาพเลย พวกเราทั้งหมดต่างก็แยกย้ายกันขึ้นรถแล้วขับกลับเข้าเมือง  พอขับออกมาได้ไม่ถึงห้านาที ฝนก็หยุดตกแบบแห้งสนิท...เป็นงั้นไป.

ภาพวาดพระพุทธเจ้าบนก้อนหินขนาดใหญ่สีสรรจัดจ้าน ทางไปวัด Chagri Dorjeden

สะพานข้ามแม่น้ำทิมพูไปวัด Chagri Dorjeden

ปิกนิกกันดาดๆ ไม่ได้ตั้งโต๊ะ, ไม่ต้องตั้งเต้นท์  แต่ไกด์เอาเก้าอี้แบบพับได้มาให้นั่ง

นั่งเก้าอี้ไม่ได้บรรยากาศ  เราปลีกตัวออกมาตั้งบนโขดหินข้างแม่น้ำ  ฟินสุดๆ  อาหารก็อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว

ขับรถกลับเข้าเมืองทิมพู  นี่คือทิวทัศน์นอกเมือง  เห็นไกลๆ อยู่ด้านขวามือของแม่น้ำนั่นคือตัวเมือง

กลับเข้าเมืองก็ขับไปโรงงานทำกระดาษ Jungshi  อารมณ์ประมาณกระดาษสาบ้านต้นเปา, สันกำแพง.  ที่จริงโรงงานแห่งนี้จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลภูฏานเมื่อปี 1990 แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนมือเป็นของเอกชน  ดำเนินงานโดย Mr.Norbu Tenzin ซึ่งได้ไปเรียนเทคนิคการทำกระดาษคุณภาพสูงจากประเทศญี่ปุ่นมา  กระดาษที่นี่ไม่ได้ใช้ปอสา  แต่ใช้ เปลือกไม้ของต้น Daphne Papyri กระดาษที่ได้จะมีสีคล้ำแต่เหนียวและทนทาน.  นอกจากนี้ยังมีกระดาษอีกชนิดที่ทำจากเปลือกของต้น Edgeworthia Papyri ซึ่งปลูกบนที่สูงกว่าต้นไม้ชนิดแรก  เนื้อกระดาษจะนุ่มเนียนสีขาวละมุนสวยกว่ากระดาษที่ทำมาจากเปลือก Daphne Paryri  แต่กระดาษชนิดนี้ไม่ทนทาน  ขั้นตอนโดยมากจะยังคงรักษาการผลิตแบบดั้งเดิมอยู่  แต่มีหลายขั้นตอนที่ได้นำเครื่องจักรเข้ามาช่วยผลิต. หลังจากชมขั้นตอนการผลิตเสร็จไกด์ก็พาไปร้านขายของที่ระลึก  ไม่ได้ซื้ออะไรเลย, ไกด์ที่นี่น่ารักมากๆ ไม่มีการขอร้อง, คะยั้นคะยอ หรือบีบบังคับ (ด้วยสายตาหรือกิริยา) ให้ซื้อของเลย

หลังจากนั่งรถออกจากโรงงานผลิตกระดาษ  มีรายการสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกไปหลายที่มากๆ พอลเลือกไป National Institute of Traditional Medicine เป็นสถาบันสอนยาตำรับโบราณแห่งชาติ  มีการจัดแสดงสมุนไพรที่ใช้ทำยาต่างๆ  ที่พอลเลือกมาเยี่ยมชมที่นี่เพราะตระกูลพอลเป็นตระกูลเภสัช  พอลช่วยเฝ้าร้านขายยาของคุณพ่อมาตั้งแต่เด็ก  เลยอยากเห็นความแตกต่างของยาฝั่งตะวันออกมั่ง...เสียดายเขาไม่ให้ถ่ายรูป

ขั้นตอนแรก เมื่อลอกเปลือกไม้แล้วจะนำมาแช่น้ำให้คลายตัวสองวันแล้วเปลี่ยนน้ำแล้วแช่อีกสองวันก็เอาขึ้น, บีบให้สะเด็ดน้ำ

ขั้นตอนต่อมาใช้แรงงานคนแยกส่วนที่แข็ง, ส่วนที่กระดำกระด่างออก... ต้องใช้มือสัมผัสล้วนๆ

แล้วก็เอามาเข้าเครื่องจักรตีให้เป็นเยื่อ  ขั้นตอนนี้เมื่อก่อนจะใช้ตำเอา...กว่าจะได้นี่คงลำบากน่าดู

ขั้นตอนนี้ใช้กรอบไม้ไผ่ขึ้นตะแกรงร่อนเอาเยื่อไม้ แล้วลอกออกเป็นแผ่นๆ

ขั้นตอนตากแห้ง  ถ้าเป็นบ้านต้นเปาก็เอาตากแดด, แต่ที่นี่ฝนตกชุก เลยเอาไปแปะแผ่นโลหะร้อน  ไม่นานกระดาษก็แห้ง

ชมสถาบันตำรับยาโบราณเสร็จ พอลอยากเอนหลัง  พวกเราจึงมุ่งหน้ากลับโรงแรม... วันนี้พักที่โรงแรม Namgay Heritage Hotel http://www.nhh.bt/site/  โรงแรมสวยดี  ห้องกว้างขวาง  ห้องนอนและห้องนั่งเล่นแยกออกจากกันเป็นสัดส่วน  ห้องน้ำกว้างมาก  มีทั้งอ่างแช่น้ำและที่อาบน้ำ  ข้อเสียคือ วิวห้องเราเปิดมาเป็นอาคารเรียนและสนามบาส เพราะข้างโรงแรมเป็นโรงเรียนประถม, ตอนอาบน้ำนี่ผสมน้ำอุ่นยากมากๆ ถ้ามันไม่เย็นไปเลย ก็ร้อนไปเลย... ต้องค่อยๆ ปรับอยู่นานกว่าจะได้อุณภูมิที่ลงตัว.

พนักงานยกกระเป๋าที่ภูฏานทุกโรงแรม ทั้งทริป เป็นผู้หญิง  ตัวเล็กนิดเดียวแต่ยกกระเป๋าหนักๆ ได้อย่างแช่มชอง  เราจะช่วยยกไม่ได้  เราก็อดให้ทิปไม่ได้  ทั้งๆที่ Robin แจ้งแล้วว่าค่าทิปยกกระเป๋านี่ทางบริษัทจัดการให้... พอลให้ไป 100 Nu ก็ประมาณ 50 บาท มีน้องคนหนึ่งเคยมากรุงเทพฯ ทักทายเราว่า สวัสดีค่ะ  เราเลยคุยกันสนุกเลยทีเดียว.  หลังจากนั้นก็จัดคอมพิวเตอร์และเซ็ท Wifi ให้พอล, จัดเสื้อผ้าและยาเตรียมไว้, จัด toiletries (อุปกรณ์อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด) ไว้ในห้องน้ำ  แล้วก็ปล่อยพอลเอนหลัง...ส่วนเราไปเดินเล่นถนนสายหลักของเมือง... เดินสักพักก็เริ่มตะหงิดว่าทำไมรถตำรวจถึงเยอะขนาดนี้  สักพักก็มีรถนำขบวนอยู่หลายคัน  แล้วเราก็เห็นเจ้าชายวิลเลี่ยมโบกมือ...ประทับใจสุดๆ  ตอนไปอังกฤษเกาะรั้วพระราชวังบั๊กกิ้งแฮมก็ไม่มีบุญได้เห็น, แต่ได้มาเห็นที่ภูฏานรู้สึกโชคดีมากๆ  แต่เสียดายไม่เห็นเจ้าชายจิ๊กมี  ไม่รู้ว่าอยู่คันไหน.  มีเพื่อนในกลุ่มไปสนามยิงเป้าทั้งได้เห็นและได้ถ่ายภาพพระองค์ (ซูมไกลๆ) แล้วเอามาอวดตอนทานอาหารเย็นด้วย 

พอขบวนรถคันสุดท้ายผ่านไป ทุกอย่างก็เข้าสู่โหมดปกติ  เราเดินทั่วตลาดหาซื้อโก๊ะ-Kho ชุดประจำชาติภูฏานของผู้ชาย  มีร้านขายผ้ามากมาย, ร้านขายเสื้อสมัยใหม่เสื้อยืด เสื้อเชิ้ต กางเกงสแล็ค  แต่ไม่มีร้านไหนขายโก๊ะเลย.. งง มากๆ ร้านค้าที่นี่ก็แปลกๆ เป็นตึกสามสี่ชั้น เดินขึ้นไปก็เป็นล็อคๆ  ดูทึบๆ  ทุกอย่างดูรวมๆ กันไปหมด  อันนี้ไปเดินเอง  อาจเข้าใจผิด  เขียนมาที่เห็นนะ. เดินวนจนไม่อยากเดินต่อแล้วไปโผล่หลังตลาด  เห็นร้านขายหนังสือ  เลยเข้าไปซื้อหนังสือฝึกภาษาอังกฤษสำหรับเด็กประถม เขาขายเป็นชุด, ชุดละ 9 เล่ม  และซื้อดินสออีกสามโหล (แถมกบเหลาดินสอและยางลบในกล่อง)  เอาไว้บริจาคตอนไปเยี่ยมโรงเรียน  พอดีไม่ได้เตรียมมาจากเมืองไทย.  ซื้อของเสร็จก็เดินกลับโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกล ประมาณ 500 เมตรเห็นจะได้

อีกประมาณ 200 เมตรก็จะถึงโรงแรม  แต่สายตาเหลือบไปเห็นอาคารทรงคุ้นตาอยู่ในสวนสาธารณะ  พอดีตอนเดินไปถนนใหญ่ฝนตกพรำๆ เรากางร่มและก้มหน้าก้มตาเดินจึงไม่เห็น.  พอเดินเข้าไปใกล้ๆ เห็นรูปปั้นช้าง  เอ๊ะ! ทำไมมันคล้ายศาลาไทยเอามากๆ  เดินเข้าไปดูโดยรอบก็เจอป้าย  สวนมิตรภาพไทย-ภูฏาน... ขอบคุณสำหรับคำตอบค่ะ  

หน้าโรงแรม Namgay Heritage Hotel

ที่นี่มีไม่กี่โรงแรมที่มีลิฟท์... และโรงแรมนี้มีลิฟท์แก้วด้วย

ห้องนั่งเล่นแยกจากห้องนอน...หลังผ้าม่านนั่นเป็นวิวอาคารโรงเรียนและสนามบาส...

ถ้าคลิ๊กที่รูปให้ขยายจะเห็นตำรวจกำลังโบกรถอยู่ในศาลากลางสี่แยก

Norzin Lam ในตัวเมืองมีการขุดซ่อมถนนโดยรอบ

ถนนสายนี้ร้านรวงเต็มไปหมด  เข้าซอยไปด้านในก็ซอยแยกเป็นร้านค้าต่างๆ 
เดินทะลุเข้าไปข้างใน เดินขึ้นชั้นสอง ซอยเป็นห้องๆ  บรรยากาศทึบๆ หรืออาจจะเป็นเพราะฝนตกพรำๆ ด้วยละมั๊ง

ร้านขายผักและผลไม้สด

ซื้อของจากร้านนี้ชิ้นสองชิ้น  ร้านอยู่ติดถนน Norzin เลย  เจ้าของร้านเป็นหญิงกลางคน,
อัธยาศัยดีมากๆ

ศาลาทรงไทยและรูปปั้นช้างในสวนสาธารณะ...เห็นตอนแรกก็งงๆ เลยเดินเข้าไปดูโดยรอบ

และนี่คือคำตอบ.... ด้านหลังเป็นโรงแรมสร้างใหม่ อยู่ตรงข้ามกับโรงแรมของเราที่อยู่ด้านขวา, ในภาพมองไม่เห็นโรงแรมเรา

เดินกลับโรงแรม, อาบน้ำอุ่นผ่อนคลาย  แล้วนั่งเขียนบันทึก  รอเวลาไปทานอาหารค่ำตอนหนึ่งทุ่ม  วันนี้ไปทานที่ร้าน The Season's Pizzaria Restaurant วันนี้เจ้าของโรมแรมที่พักที่พาโร, ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ของเราด้วย  พาลูกทัวร์ทั้งหมดมาเลี้ยง เจ้าของชือ Sonam อายุประมาณหกสิบต้นๆ พูดคุยกับลูกทัวร์เป็นกันเอง.  พิซซ่าซึ่งเป็นอาหารที่ถ้าอยู่ประเทศไทยนี่เราไม่เคยสั่งทานเลย  เพราะเป็นอาหารที่ไม่ชอบเอามากๆ แต่มาทานที่นี่ก็ไม่แย่สักเท่าไหร่.  ระหว่างทาน Wandi หัวหน้าไกด์ก็ให้ Yonten, ไกด์ของเราวันนี้ บรีฟ ข้อมูลท่องเที่ยวของวันพรุ่งนี้ว่าต้องทำอะไรบ้าง... หัวหน้าไกด์นี่ดีมากๆ ให้ไกด์ทุกคนได้วน บรีฟ หน้ากลุ่มทัวร์  ทำให้ไกด์แต่ละคนเกิดความมั่นใจในตัวเอง.  

ร้านพิซซ่าอยู่ห่างจากโรงแรมไปประมาณ 500 เมตร  ที่จริงมันอยู่ใกล้กับร้านขายหนังสือที่เรามาซื้อตอนเย็น  เราเลยบอกไกด์ว่าจะเดินกลับเอง  เขาทำหน้าแบบห่วงๆ  เคิ้ว อะไรจะประคบประหงมขนาดนั้น  เราเดินกลับถึงโรงแรมก่อนเพื่อนร่วมทัวร์ด้วยซ้ำ เพราะทางเดินมีทางลัด  ส่วนรถต้องขับอ้อมเพราะเป็นวันเวย์และเราก็ออกจากร้านก่อนคนอื่นด้วย  พอกลับถึงห้องก็ล้างหน้าแปรงฟัน, เปลี่ยนชุดแล้วนอน

Yonten (ยืนขวาสุด) ไกด์ของเราวันนี้ brief เรื่องทัวร์พรุ่งนี้, คนที่ยืนอีกคนนั่นคือ Wandi หัวหน้าไกด์

พิซซ่าหน้าซาลามี่ สั่งจานเล็กสุดมาก็ินได้แค่สองชิ้น  ที่เหลือเทศบาลพอลกำจัดเรียบ.

ไกด์ - Yonten
คนขับ - Kinlay
ที่พัก - Namgay Heritage Hotel

อยากจะบอกว่า... ต้องขออำภัย ที่จะหายหน้าหายตาไปสักวันสองวัน  เพราะพรุ่งนี้ (10/5/2016) จะเตรียมเอกสารยื่นขอวีซ่าอเมริกา... ส่วนวันมะรืนต้องไปยื่นขอวีซ่า  และมีนัดทานเที่่ยงกับอาจารย์ศิริพรรณ (เจ้าของร้าน 9 หมู่ 9)  ถ้าเป็นไปได้จะพยายามเขียนบล๊อกให้ไวที่สุดค่ะ... (สามีเริ่มเหล่ว่า อินี่มันขลุกตัวอยู่กะบล๊อกนานเกินไปมั๊ยเนี๊ยะ) 

ปล. รีบพิมพ์รีบส่งต้นฉบับ...ไม่ได้ตรวจคำผิด...ถ้าใครเจอแล้วขัดตา ร่บกวนแจ้งด้วยนะคะ, จะได้แก้ไขให้ค่ะ.  กราบขอบพระคุณที่เข้ามาช่วยอ่านเป็นกำลังใจค่ะ.


2 comments: