Friday, April 15, 2016

2016-04-15 Bhutan Trip -- Thimphu to Wang Due

วันที่ 4

วันนี้จุดหมายปลายทางที่จะไปพักคืนนี้อยู่ที่ 'วังดี' (Wangdue) เป็นเมืองเล็กๆ แต่เป็นเมืองหลักของมณฑลวังดีโพรดรัง (Wangdue Prodrang).  หลังจากอาบน้ำแต่งตัวก็ออกจากห้องไปทานอาหารเช้า  ระหว่างทานพนักงานสาวตัวน้อยก็พากันขนกระเป๋าจากห้องมาวางไว้หน้าล๊อบบี้  เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้  ข้อแขนนิดเดียวกลัวจะหัก   ทานเสร็จก็เช็คเอ๊าท์, ชำระค่าเบียร์ที่ดื่มเมื่อวาน แล้วก็ออกเดินทาง  นั่งรถประมาณ 5 นาทีก็แวะจอด The Memorial Chorten... (Chorten หมายถึง เจดีย์หรือสถูป)  เรื่องสะกดคำชื่อสถานที่ต่างๆ ในภูฏานเป็นภาษาอังกฤษนี่ต้องขอบอกว่าเช็คก่อนพิมพ์แล้ว  ป้ายหน้าอนุสรณ์สถาน เขียนเป็น Choeten แต่ในอินเตอร์เน็ต, ทุกเวปพิมพ์เป็น Chorten ภาษาอังกฤษที่ใช้สะกดคำภาษาภูฏานซึ่งเรียกว่า ซองคา (Dzong Kha)  ใช้ได้หลายแบบ.

อนุสรณ์สถานแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี คศ.1974 เพื่อรำลึกและเป็นเกียรติแก่ Druk Gyalpo, Jigme Dorji Wangchuck กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ Wangchuck. สิ่งก่อสร้างหลักคือเจดีย์ต่างจากเจดีย์อื่นๆ นั่นคือไม่มีการนำอัฐิมาบรรจุ  นอกจากนั้นยังมีล้อสวดมนต์ Prayer Wheel อยู่ด้านหน้าใกล้กับประตูทางเข้า  และมีรูปปั้น Jetsun Dolma หรือที่หลายประเทศที่นับถือศาสนาพุทธนิกายเดียวกันเรียกว่า Tara หรือ Arya Tara เป็นพระโพธิสัตว์  ผู้คนมาบูชากราบไหว้ให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน.  ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://en.wikipedia.org/wiki/Memorial_Chorten,_Thimphu


แวะ Memorial Chorten สร้างเพื่อเป็นเกียรติ์แด่กษัตริย์ Jigme Dorji Wangchuck, กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ Wangchuck

อาคารวงล้อสวดมนต์ (Prayer Wheel) ใช้คำว่าล้อสวดมนต์แล้วมันแปร่งๆ ชอบกล

เจดีย์ทรงทิเบตข้างในไม่ได้บรรจุอัฐิ, มีเพียงพระฉายาลักษณ์ของกษัตริย์ Jigme Dorji Wangchuck ในฉลองพระองค์ประจำชาติ
เท่านั้น (ต้องขออภัยหากใช้คำศัพท์ผิดหรือไม่เหมาะสม, เพราะไม่แน่ใจจริงๆ)

ผู้คนพากันมาเดินเวียนขวา (ทักษิณาวรรต) ก่อนไปทำงาน, แต่คนแก่ก็จะอยู่พบปะพูดคุย รวมถึงนั่งสมาธิจนกว่าจะค่ำถึงกลับ 

ด้านหน้าจะมีคนเดินขึ้นไปเคารพพระฉายาลักษณ์

ศาลาประดิษฐานรูปปั้น Jetsun Dolma --  https://en.wikipedia.org/wiki/Tara_(Buddhism)

Jetsun Dolma ผู้คนเข้ามาขอพรให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน

ออกเดินทางต่อ, แวะที่ ดอชูลา (Dochula Pass) ซึ่งอยู่ห่างจากทิมพูไปทางตะวันออกประมาณ 23 กิโลเมตร  แต่ใช้เวลาเกือบชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว  ทั้งนี้เพราะถนนแคบและคดเคี้ยว.  ที่ภูฏาน เวลาเดินทางผ่านจุดสูงสุดของภูเขาลูกที่ขับรถผ่าน  มักจะเห็นเจดีย์ที่สร้างเป็นสัญลักษณ์ว่าเรากำลังผ่านจุดสูงสุดของทางรถยนต์บนภูเขาลูกนั้นแล้ว  คำว่า 'la' หลังชื่อแปลว่า 'Pass' หมายถึงผ่าน, ทางผ่าน.  ดอชูลา มี 108 สถูปที่สร้างเป็นอนุสรณ์สถานเป็นเกียรติ์ให้แก่วีรชนที่เสียชีวิตในการสู้รบกับชาวอินเดียในสงครามอัสสัม.  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://en.wikipedia.org/wiki/Dochula_Pass  

ด้านหลัง 108 สถูปเป็นเนินเขา  ไกด์พาเราเดินขึ้นไปถ่ายภาพวิว  วันที่เราไปถือว่าโชคดีมากๆ เพราะท้องฟ้าแจ่มใส  มองเห็นเทือกเขาหิมาลัย.  ตอนเดินขึ้นไปเห็นหนุ่มภูฏานกำลังแขวนธงมนตรา (Prayer Flags) จึงเข้าไปส่อง..อร๊าย...เข้าไปถ่ายรูป! ผู้ชายภูฏานนี่เก่งมากๆ ขนาดปีนต้นไม้แล้วยังปิดโก๊ะ (Kho-ชุดประจำชาติ) ซะมิดมองไม่เห็นอะไรเลยทีเดียว....  ที่ภูฏานผู้คนจะเขียนหรือพิมพ์บทสวดมนต์ (ปัจจุบันคงพิมพ์จากโรงงาน) ลงบนผ้าหลากสี  และอธิษฐานขอพร แล้วจึงนำไปแขวนตามศาสนสถานต่างๆ 

คลิ๊กที่รูปเพื่อดูวิวขยายใหญ่ขึ้น  ของจริงสวยมากๆ แต่ถ่ายออกมาได้แค่เนี้ยะ

ป้ายอธิบายความสูงของยอดเขาแต่ละลูก

อดไม่ได้, ขอซูมมาให้ดู เพราะวันนั้นอากาศดีมาก... ท้องฟ้าแจ่มใส มองเห็นเทือกเขาหิมาลัยได้อย่างชัดเจน.

โรแมนกระติกมากๆ เลยขอถ่ายรูปกับพอลหน่อย... ขอบอกว่าอากาศหนาวแบบนั้น  แต่แดดแรงหน้าไหม้เลยทีเดียว

ปีนขึ้นเนินเขาด้านหลัง 108 สถูป, เห็นหนุ่มภูฏานกำลังแขวนธงมนตรา เลยถ่ายรูปมาเก็บไว้เชยชม

ไม่หนำ, ขอซูมหน่อย... เผื่อคำอธิษฐานจะเป็นจริง 5555

อย่างที่บอกว่าโชคดีมากๆ ที่อากาศสดใส, ท้องฟ้าเปิด  แต่ตอนนั้นสายมากๆ แดดแรงจัด เสียดายไม่มี CPL filter ไม่งั้นรูปสวย
กว่านี้แน่ๆ

เดินชมรอบๆ ไม่ว่ามุมไหนก็สวยไปหมด  


ภาพนี้ถ่ายยากหน่อย เพราะอยากได้สถูปด้านที่เป็นเงา พร้อมกับวิวเทือกเขาหิมาลัยด้านหลัง, ถ่ายหลายครั้งกว่าจะได้ภาพนี้

ผู้คนที่นี่มีศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า

เดินทางต่อไปยังทิศตะวันออก ตามถนนสายทิมพู-พูนาคา อีกประมาณ 40 กิโลเมตร  ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง  จอดทานอาหารเที่ยงที่หมู่บ้าน Sopsokha ที่ต้องเป็นหมู่บ้านนี้เพราะร้านอาหารตั้งอยู่บนเนิน, มองเห็นทุ่งนา, หมู่บ้าน, ภูเขาและวัดชิมิ๊ (Chimi Lhakhang) หลังทานอาหารเที่ยงเสร็จก็เดินข้ามทุ่งนา, เดินผ่านหมู่บ้าน, เดินขึ้นเนินเขาเพื่อไปวัดชิมิ๊... วัดเก่าแก่แห่งนี้สร้างเมื่อปี คศ.1499 วัดนี้เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติในชื่อ Divine Madman หรือชายบ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์  วัดนี้มีชื่อเสียงโด่งดังสำหรับคนที่อยากมีบุตร เชื่อว่าถ้าเข้ามาขอพรที่วัดนี้แล้วเอาปลัดขลิกยักษ์อันศักดิ์สิทธิ์มาโขกหัวก็จะได้ลูกสมใจอยาก  ไกด์ได้เอาอัลบั้มรูปของคู่สามีภรรยาที่ประสบความสำเร็จและถ่ายรูปให้กับทางวัดเป็นหลักฐาน....อ่านข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับวัดนี้ได้ที่นี่  https://en.wikipedia.org/wiki/Chimi_Lhakhang


ขับรถบางช่วงเริ่มมีการก่อสร้างเพื่อขยายถนน

บางช่วงก็ราดยางเรียบร้อยแล้ว

หมู่บ้านข้างล่างตรงกลางภาพคือหมู่บ้าน Sopsokha ที่เราจะแวะทานอาหารเที่ยง

รถจอดปุ๊บสิ่งแรกที่เจอคือร้านขายของที่ระลึก...แต่ที่ถ่ายภาพนี้มาให้ดูคือภาพวาดกระปู๋มีตา...ป้องกันปีศาจและสิ่งชั่วร้าย

น้องเหมียวหน้าร้านอาหาร  นางแบบจำเป็น...แบบว่าไม่อายกล้องเลยค่ะ

ร้านอาหารที่เราไปเป็นอาคารล่างสุด, นั่งทานกันที่ชั้นสองซึ่งติดกระจกทั้งผนังให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมวิวระหว่างทานข้าว

เดินผ่านทุ่งข้าวสาลี

ระหว่างทางก็มีอาคารล้อสวดมนต์

ซูมถ่ายภาพบ้านเรือนของชาวบ้าน

เจอกลุ่มแม่บ้านกำลังเกี่ยวข้าวสาลี

ขอเนียนเกี่ยวข้าวสาลีด้วยคน...ภาพนี้คุณไกด์ Nawang ถ่ายให้  ที่จริงไกด์ของเราวันนี้คือ ไกด์ Zanglay แต่พอลไม่อยากเดิน
ขึ้นวัดเพราะเป็นเนินเขา, ไกด์จึงอยู่เป็นเพื่อนพอล  แล้วฝากเราไว้กับไกด์ Nawang 

เดินมาถึงทางขึ้นวัด  หันกลับไปถ่ายทางที่เดินมา  ร้านอาหารอยู่กลางภาพขวาสุด... ไกลเหมือนกันนะเนี๊ยะ.

มีร้านขายของที่ระลึกทางขึ้นวัด, ถ่ายภาพนี้เพราะชอบหน้ากากอันที่สองจากซ้ายมือ

เณรและชาวบ้านข้างร้านขายของที่ระลึก.

ไกด์ Nawang กำลังปั่นล้อสวดมนต์

เณรที่วัดชิมิ๊ กำลังเล่นฟุตบอลอย่างเอาจริงเอาจัง

ขอถ่ายรูปเณรน้อย

คุณยายมาสวดมนต์ทุกวัน  ตั้งแต่เช้ายันเย็น...ศรัทธาแรงกล้า...

ขอถ่ายรูปคุณยายก็ใจดี, หันมาให้ถ่ายทันใด

คุณยายอีกคนนั่งหมุนล้อสวดมนต์โดยมีเณรน้อยช่วยหมุน, ล้อนั้นหนักใช่ย่อย.

เณรน้อยแห่งวัดชิมิ๊...

นักท่องเที่ยวชาวจีนมาขอพรให้มีลูก...ต้องใช้ปลัดขลิกนั่นเคาะหัวเชียวนะ...

Prayer Wheel...

เดินทางต่อ... ขับรถเรียบแม่น้ำพูนาซัง (Puna Tsang Chu) ไปทางเหนือ  ประมาณ 8 กิโลเมตร ก็ถึง พูนาคาซอง (Punakha Dzong). พูนาคาซองเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองรองจาก โทรงซาซอง (Trongsa Dzong).  พูนาคาเคยเป็นเมืองหลวง  และพูนาคาซองก็เคยเป็นรัฐสภาในการบริหารประมาณ จนเมื่อปี คศ.1955  เมืองหลวงได้ย้ายไปที่ทิมพู, รัฐสภาก็ย้ายไปที่ทาชิโชซอง (Tashichoe Dzong) ในทิมพูด้วย  อ่านข้อมูลเกี่ยวกับพูนาคาซองได้ที่นี่

วันที่เราไป  ที่พูนาคาซอง ยุ่งวุ่นวายมากเลยทีเดียว  ทั้งนี้เพราะวันพรุ่งนี้ (16 เมษายน 2016) สำนักพระราชวังภูฏานจะจัดพระราชพิธีเฉลิมพระนามเจ้าชายน้อยจิ๊กมี นัมเกล วังชุก (Jigme Namgyel Wangchuck) อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่นี่  http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000039103  

แม้จะเป็นการเตรียมการ แต่ก็มีพิธีกรรมต่างๆ วันนี้โชคดีมากๆ ได้เห็นสมเด็จพระสังฆราชของภูฏาน  ไกด์บอกให้เราขึ้นไปชั้นสองของอาคารตรงกันข้ามเพื่อเตรียมถ่ายรูปพระสังฆราช... การถ่ายรูปบุคคลสำคัญอย่างนี้, ถ้าเราอยู่ใกล้ๆ แล้วถ่ายเป็นการไม่สมควร แต่สามารถถ่ายรูประยะไกลก็สามารถถ่ายได้ไม่ผิดอะไร (ไกด์บอกมา) แต่เราก็ไม่ได้ถ่ายมา  แค่เก็บภาพบรรยากาศโดยทั่วไป.

พอพิธีในวัดเสร็จ  นักท่องเที่ยวก็ได้รับอนุญาตใ้ดเข้าไปชมภายในได้แต่ห้ามถ่ายรูป  โดยหลักๆ แล้วภายในมีพระประธาน 3 องค์ คือพระพุทธเจ้าในอดีต, ปัจจุบันและอนาคต  อันนี้ถ้าใครอยากรู้ลึกให้เข้าไปอ่านได้ที่นี่  https://en.wikipedia.org/wiki/Buddhism_in_Bhutan  นอกจากนั้นยังมี ภาพพระบฏ (Thangka) ซึ่งปกติดจะมีผ้าปิดไว้  แต่เนื่องจากพรุ่งนี้จะมีงานใหญ่  ภาพพระบฏทั้งหมดจึงถูกเปิดให้ชมความงาม...  นับได้ว่าทริปนี้โชคดีเป็นอย่างมาก

เดินทางต่อจากวัดชิมิ๊ ไปตามถนนเรียบแม่น้ำพูนาซัง เพื่อไปพูนาคาซอง

พูนาคาซอง (Punaka Dzong) อันยิ่งใหญ่ตระการตา

นับว่าโชคดีมากๆ เพราะพรุ่งนี้มีงานใหญ่ ดังนั้นจึงมีการตกแต่งสถานที่ด้วยผ้าหลากนี่ได้อย่างสวยงาม

ภาพนี้ถ่ายยากมากๆ เพราะภายในสะพานคลุมด้วยหลังคา, แสงน้อย  แต่แบล็คกราวน์แสงจ้ามากๆ

เดินข้ามสะพานมาแล้วหันมาทางขวา, แล้วถ่ายภาพนี้...เสียดายเลนส์ซูมได้สูงสุดแค่ 135 มิล.... 

ทางเดินขึ้นพูนาคาซอง (Punakha Dzong) ตกแต่งด้วยผ้าริ้ว, ไม่แน่ใจว่าขึ้นไปติดผ้าบนหลังคา
ได้อย่างไร....สูงมากๆ

ภาพจิตรกรรมฝาผนังสีสดใส (ไม่แน่ใจว่าเป็นภาพใคร, ตอนไกด์อธิบายไม่ได้ฟัง)

เจดีย์ภายในพูนาคาซอง... ที่เชียงใหม่ เจดีย์จะอยู่หลังวิหารเสมอ, แต่ที่นี่เดินเข้ามาเจอเจดีย์เลย

ถ่ายภาพนี้ไกด์ก็ไม่ได้ว่าอะไร, มารู้ทีหลังว่าท่านเป็นรัฐมนตรีของภูฏาน (ตำแหน่งจำไม่ได้)
กำลังเดินออกมาจากอาคาร... รองเท้าที่ท่านใส่เป็นรองเท้าที่ใส่กับชุดประจำชาติ
อย่างเป็นทางการ

นักท่องเที่ยวชาวอินเดีย, สามารถเข้าภูฏานโดยไม่ต้องขอวีซ่า

พระสงฆ์กำลังจัดตกแต่งพูนาคาซองเตรียมงานพระราชพิธีเฉลิมพระนามเจ้าชายน้อยจิ๊กมี นัมเกล วังชุก

ผ้าพระบฏผืนใหญ่
พระสงฆ์เตรียมเป่าแตรยาวหลังพิธีสวดมนต์

หลังจากสมเด็จพระสังฆราชแห่งภูฏานเสด็จกลับแตรยาวก็หยุด, เหล่าพระสงฆ์ก็พากันออกมาทำภารกิจต่อไป(เตรียมงาน)

พระขนของกันให้ขวักไขว่เพื่อพระราชพิธีเฉลิมพระนามเจ้าชายน้อย

พูนาคาซอง Bhunakha Dzong ถ่ายจากบนสะพาน, ต้นไม้กำลังผลิดอก  คิดว่าอีกสองอาทิตย์คงบานสะพรั่ง.

เดินชมจนพอใจแล้วจึงออกมาด้านหน้าพูนาคาซองเพื่อรอรถมารับ  ปกติด้านหน้าเป็นลานจอดรถ  แต่เพราะพรุ่งนี้จะมีงานพิธี ตำรวจห้ามจอดรถด้านหน้า  คนขับรถจึงไปจอดที่อื่นแล้วไกด์ก็โทร.เรียกให้มารับ.  แต่รอแค่ประมาณ 5 นาทีก็ได้ขึ้นรถแล้ว.

ขับรถกลับถนนสายเดิมสักสิบนาทีก็ข้ามสะพานไปฝั่งตรงกันข้าม, ไกด์บอกว่าขับฝั่งนี้จะใกล้กว่าเพราะไม่ต้องไปอ้อมอีกทั้งวิวยังสวยกว่า.  แต่ถนนจะแคบกว่าซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะคนขับรถของเราฝีมือดีมากๆ  ระหว่างทางจอดถ่ายรูปทิวทัศน์เป็นระยะ ขับรถประมาณ 12 กิโลเมตรหรือประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึงเมืองวังดี Wangdue  คนขับขอจอดเติมน้ำมัน  ส่วนไกด์ขอไปกดเงินและซื้อน้ำดื่ม  เราจึงถือโอกาสนี้เดินชมเมือง  ขอบอกว่าเมืองเล็กมากๆ  ตลาดสดมีแผงขายของประมาณ 10 ร้าน  มีคิวรถจอดริมถนนเพื่อไปตามเมืองต่างๆ ดูเล็กกะทัดรัดน่ารักจิ้มลิ้มดี แม้จะเป็นเมืองหลวงของมณฑลวังดีโพดรัง (Wangdue Phodrang) ก็ตาม

ขับรถต่อจนพ้นเขตเมืองแล้วแล้วเลี้ยวซ้าย  ตามถนนหลักไปทางทิศตะวันออก  ถนนสายนี้เรียบแม่น้ำแดง (Dang Chu) ออกไปประมาณ 10 กิโลเมตรหรือประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ถึงที่พัก... ถนนตั้งแต่ออกจากเมืองวังดีมีการก่อสร้างตลอดสาย  ถนนแคบมากๆ รถวิ่งช้าๆ ฝุ่นคลุ้งกระจาย.  เมื่อลงจากรถไกด์ก็เช็คอินให้แล้วผู้หญิงสามคนก็มาช่วยยกกระเป๋า  ทิปไป 200 นู  แล้วจะหารสามลงตัวได้อย่างไร...(อันนี้เรียกว่าทิปทดสอบความสามัคคีของเพื่อนร่วมงาน...)  ห้องที่โรงแรมเล็กนิดเดียว  แต่สะอาดสะอ้านดีมาก  จุดเด่นของห้องที่นี่คือระเบียงริมแม่น้ำแดง  เหมาะสำหรับนั่งจิบไวน์เลยทีเดียว  หนึ่งทุ่มไปรวมตัวกันทานอาหารเย็น  และบรีฟสำหรับโปรแกรมวันพรุ่งนี้.


วิวหมู่บ้านริมแม่น้ำพูนาคาซัง (Punakha Tsang Chu) ช่างจอดรถได้ทำเลดีมากๆ ต้นไม้อยู่กลางภาพเลย

อันนี้อีกหมู่บ้านหนึ่ง  คิดว่าบนสุดน่าจะเป็นวัด

เมืองวังดี (Wangdue) คนขับแวะเติมน้ำมันรถ, ไกด์แวะกด ATM และซื้อน้ำดื่ม

คิวรถ, คนขับยืนรอและเรียกลูกค้า

ตลาดสด, เล็กมากๆ

ร้านขายของในเมืองวังดี

ที่ภูฏานการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย, ป้ายนี่อยู่กลางเมืองเลยทีเดียว

หลังออกจากวังดี ถนนก็เป็นแบบนี้ตลอดทาง  ไกด์บอกว่า Free massage 

โรงแรมของเราคืนนี้.  พอลไม่ชอบเดินขึ้นบันได, ตลอดทริปก็จะได้แต่ห้องชั้นล่าง

ห้องแคบ, ไม่มีทีวี ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีสัญญาณ Wifi แต่มีเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องทำความร้อน และวิวที่ระเบียงสวยมากๆ

ระเบียงเล็กแต่วิวสวยใหญ่

ภาพนี้เดินมาที่สวนข้างห้องแล้วถ่ายพาโนรามา  กำลังฟิน, ฝนตกไล่เข้าห้องซะงั้น

จบภูฏานวันที่ 4  ต้องขออภัยที่ช่วงนี้ติดธุระหลายอย่าง  ทั้งทำวีซ่าไปอเมริกา ทั้ง Dining out.... จะค่อยๆ เขียนต่อให้จบทริป ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ.

ไกด์ - Zanglay
คนขับ - Ap Nara
ที่พัก - Kichu Resort

No comments:

Post a Comment