วันที่ 1
Guide - Robin
Driver - L.Dorji
Stay - Naksel Boutique Hotel & Spa
ขอจบบล๊อกเที่ยวภูฏานวันแรกไว้แค่นี้...จะทะยอยเขียนบล๊อกให้จบค่ะ.
ข้อมูลเพิ่มเติม
ตั้งปลุกและ Morning call ตอนตี 3 แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ตื่นก่อนอยู่ดี... อาบน้ำแต่งตัวแล้วขนกระเป๋าลงไปทานอาหารเช้า แต่มันไม่ใช่เวลาเลยกินได้แค่ผลไม้ 2-3 ชิ้น จากนั้นไปรอหน้าโรงแรม ขึ้น shutter bus ไปลงสนามบิน นั่งรถ 5 นาทีก็ถึง แล้วทั้งกลุ่มก็พากันขึ้นไปชั้น 4 เพื่อเช็คอิน... ยืนต่อแถวนานมากๆ มีกลุ่มคนไทยไปเที่ยวภูฏานเยอะมากๆ ตอนแรกคิดว่า Robin ซึ่งเป็นไกด์จะเช็คอินให้ แต่ทั้งกลุ่มต้องไปยืนต่อแถว พอถึงคิวพวกเรา Robin ก็ไปคุยที่เคาน์เตอร์ให้เขาเช็คอินแบบกลุ่ม พนักงานหน้างงๆ แล้วไปถามซุปเปอร์ไวท์เซอร์ และก็เช็คอินให้ ที่จริงไม่ต้องให้พวกเราไปเข้าแถวก็ได้นะเนี๊ยะ
Lobby โรงแรม Novotel Suwannaphum ตอนตีสามครึ่ง |
แกงค์สูงวัยใจเกินร้อย |
เครื่องออกตอน 7:00 โมงเช้า ตอนขึ้นเครื่องเขาประกาศว่าจะแวะส่งผู้โดยสารที่ Dhaka ประเทศบังคลาเทศ แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไปจอดที่สนามบิน Bagdogra, ซึ่งอยู่ใน Darjeeling ประเทศอินเดีย... งงๆ หลังจากผู้โดยสารบางส่วนลง ก็มีผู้โดยสารใหม่ขึ้น อารมณ์ประมาณรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ เครื่องบินต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงจอดสนามบินนานาชาติพาโร ตอน 9 โมง 50 นาที เวลาที่ภูฏานช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง ร่างกายจึงไม่ต้องปรับเวลาอะไรเหมือนตอนเดินทางไปอเมริกา.
ลงจากเครื่องก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายประมาณ 20 องศาเซลเซียส แต่แดดที่นี่แรงมากๆ จึงให้ไม่รู้สึกหนาวเลย. แล้วผู้โดยสารทั้งหมดก็พากันเดินไปอาคารผู้โดยสาร ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง Robin ส่งวีซ่ามาให้ทางอีเมลตั้งแต่เดือนก่อนซึ่งเราต้องพิมพ์และเตรียมมาเอง พิธีการที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองนี่ง่ายและเร็วมาก ทั้งนี้เพราะการจำกัดคนเข้าเมืองทำให้คนที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ต้องมีวีซ่าพร้อมอยู่แล้ว จึงไม่ต้องตรวจตราอะไรมากมาย
ปกติจะตื่นเก้าโมงกว่า นานๆทีจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น... มันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ |
อาหารเช้าบนเครื่อง ไม่อร่อยเอามากๆ เสียดายที่ไม่กินอาหารมาจากโรงแรม |
อยากถ่ายโลโก้สายการบินดรุกแอร์โดยมี Paro Dzong (ป้อมพาโร) เป็นแบล็คกรวาน์ แต่รถบรรทุกมาแย่งซีน |
ผู้โดยสารต้องเดินจากเครื่องไปอาคารด่านตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งอยู่ไม่ไกล |
เหมือนสนามบินทุกที่ คือเดินออกมาก็มีคนมารอรับผู้โดยสารเต็มไปหมด |
มีรถมารับ 7 คัน ทั้งนี้เพราะมี 4 คนที่เดินทางมาเที่ยว 2 วันก่อนทัวร์จะเริ่ม เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราจึงยังไม่เข้าที่พัก แต่ไปเที่ยวในเมืองพาโรก่อน ที่แรกที่จอดคือสนามแข่งยิงธนู การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ถ้าฝ่ายไหนยิงเข้าเป้าตามธรรมเนียมจะมีการร้องและเต้นเพื่อประกาศศักดาและข่มขวัญฝ่ายตรงกันข้าม การแข่งขันยิงธนูเป็นกีฬาประจำชาติของภูฏาน.
เป้ามีสองฝั่งซึ่งอยู่ไกลกัน 145 เมตร ส่วนเป้าสูง 3 ฟุต กว้างแค่ 28 เซ็นติเมตร กลางเป้าทาด้วยสีสดใสให้เห็นชัด |
นักกีฬาในดวงใจเค๊อะ... |
อันนี้ป้ายโฆษณาหนังติดหน้าทางเข้าสนามยิงธนู |
ชมการแข่งขันยิงธนูสักพักก็เริ่มเบื่อ เพราะมันไม่เร้าใจเท่ากับดูมวยไทยที่นักมวยกล้ามเป็นมัดๆ กอดรัดฟัดเหวี่ยงเข่าศอกสารพัดเห็นแล้วเปรี้ยวปาก...อร๊าย...เข้าเรื่องค่ะ...เข้าเรื่อง.... ออกจากสนามยิงธนูก็มีเป้าหมายอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภูฏาน พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี คศ.1968 โดยใช้ป้อมสังเกตุการณ์โบราณชื่อ Ta Dzong มาซ่อมแซมปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์ แต่เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ทำให้ต้องซ่อมแซมฐานที่มีรอยแยก ดังนั้นทางพิพิธภัณฑ์จึงย้ายวัตถุโบราณมาจัดแสดงที่อาคารสำนักเป็นการชั่วคราว ซึ่งคาดว่าการซ่อมแซมอาคาร Ta Dzong จะเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคม 2016 ที่จะถึงนี้ (ข้อมูลจากเวปไซด์ของพิพิธภัณฑ์ http://www.nationalmuseum.gov.bt/ ) ตอนเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป ซึ่งก่อนเข้าจะต้องฝากกล้องและกระเป๋าไว้ในล๊อคเกอร์ เข้าไปก็นั่งชมวีดีทัศน์ประวัติความเป็นมาของประเทศ, ชนเผ่าในภูฏาน... แล้วก็เดินชมพิพิธภัณฑ์โดยรอบ
ขับรถข้ามแม่น้ำพาโร (Paro Chu) คำว่า Chu แปลว่า แม่น้ำ, น้ำดื่ม |
ขับรถขึ้นเนินเขา มีการซ่อมถนนเป็นช่วงๆ คนงานโดยมากมาจากอินเดีย |
แวะจุดชมวิว อาคารที่เห็นเป็นสนามบิน ส่วนอาคารหลังใหญ่ที่เนินเขาด้านหลังเป็น Paro Dzong |
ศาลาล้อสวดมนต์ - Prayer Wheel (อันนี้ตั้งชื่อเองไม่รู้ว่าคนอื่นเรียกว่าอย่างไรนะ) มีให้เห็นอยู่ทั่วไป |
L.Dorji คนขับรถซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์ |
อาคารสำนักงานซึ่งตอนนี้จัดแสดงโบราณวัตถุจนถึงสิ้นปีนี้ แล้วจะย้ายกลับไปจัดแสดงที่ Ta Dzong |
ป้ายห้องน้ำชาย...ตอนแรกก็งงๆ คิดว่าเป็นห้องน้ำหญิงเพราะไม่ได้อ่าน, ดูรูปแล้วมโนไปเอง |
ป้ายห้องน้ำหญิง |
Ta Dzong เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์แต่ปิดซ่อมแซม จะซ่อมเสร็จและเปิดใช้อีกครั้งเดือนธันวาคม 2016 |
วิวเมืองพาโรถ่ายจากพิพิธภัณฑ์ จะเห็นแม่น้ำพาโรไหลผ่านกลางเมืองเลยทีเดียว |
ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็ขับรถเข้าเมืองเพื่อไปรวมกลุ่มกันทานอาหารกลางวัน ที่ใช้คำว่ารวมกลุ่มเพราะตอนไปเที่ยวนี่มีคนขับรถและไกด์ส่วนตัว ใครอยากไปไหนก็ตามอัธยาศัย ไม่ต้องมารอกัน แต่เวลาทานอาหารนี่จะเป็นเวลาที่ทั้งทัวร์จะมารวมกลุ่มทานอาหารและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าใครไปไหนมาบ้าง... และเพื่อความเท่าเทียมจึงวนเปลี่ยนไกด์และคนขับให้นักท่องเที่ยวแต่ละคู่. อาหารมื้อแรกเป็นร้านอาหารอยู่ชั้นสองของร้านขายของ อาหารเป็นบุฟเฟท์ รสชาดอาหารคล้ายๆ กับอาหารไทยแต่จืดกว่า แต่ถ้าใครอยากทานเผ็ดก็จะมีพริกผัดชีทมาให้ แต่เผ็ดก็แค่เด้าปากค่ะ ไม่เผ็ดร้อนและอยู่ทนเหมือนเผ็ดแบบอาหารไทย เราสั่งเบียร์มา 1 ขวด รสชาดจืดกว่าเบียร์ไทยมาก ราคา 250 Nu หรือประมาณ 125 บาท.
ร้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ดูเหมือนจะเป็นร้านยอดฮิต มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มมาทานที่นี่ รวมถึงกลุ่มคนไทยที่นั่งโต๊ะข้างๆ นั่งทานกันเงียบมากๆ คุยกันเล็กน้อย เราได้ยินเขาคุยกันเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปต่อ อะไรทำนองนั้น อิ..อิ..
ร้านอาหาร Yue-Ling อยู่ชั้นสองของอาคารนี้ บันไดขึ้นอยู่ด้านหลัง |
Druk 11000 เบียร์ยอดฮิตเพราะมีคำว่า Strong สีทองอยู่ที่คอขวดค่ะ |
พริกผัดชีท เผ็ดอร่อยไม่เลี่ยน เราเตรียมแจ่วบ่องไปแต่ไม่เคยได้เปิดกระปุก...ให้ไกด์ไปตอนจบทริป |
ทานเสร็จ ก็แยกย้ายกันไปเที่ยวต่อ จุดหมายช่วงบ่ายของเราคือ Paro Dzong. ที่จริงชื่อของป้อมนี้ คือ Rinpung Dzong แต่คนคงเรียกติดปากว่า พาโรซ็อง เพราะเป็นป้อมใหญ่อยู่ในเมืองพาโร (อันนี้คิดเอาเองค่ะ). Paro Dzong สร้างในศตวรรษที่ 16 ใช้เป็นป้อมปราการ ในปัจจุบันกลายเป็น Buddhist Monastery หรือที่ชาวภูฏานเรียกว่า Gompa หรือวัดที่มีพระจำพรรษานั่นเอง สิ่งที่ทำให้พาโรซ็องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอีกประการคือ เมื่อปี 1993 ภาพยนตร์ฮอลลี่วู้ดเรื่อง Little Buddha ได้ใช้ซ็องนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ (ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Rinpung_Dzong ) ข้อมูลที่เขียนมาจากไกด์ ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ทำให้ตอนเขียนต้องค้นหาข้อมูลมาประกอบด้วยอีกทาง
Rinpung Dzong หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Paro Dzong |
ซูมประตูทางเข้าวัด, เสียงดายเลนส์เราซูมสูงสุดได้แค่ 135mm. มีเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งเอาเลนส์ซูม 700mm. มาใช้..สุดยอด |
ประตูทางเข้าถ่ายจากด้านใน. ภาพนี้ถ่ายเกือบยี่สิบรูป ไกด์ขอให้เณรเดินผ่านประตู 3 ครั้ง...เราเหวอไปเลย... |
ไกด์ Robin นำเที่ยวภูฏานครั้งที่ 32 แล้ว... ที่จริงเขาเป็นช่างถ่ายภาพก่อนผันตัวมาเป็นไกด์ |
ของจริงสวยงามมากๆ แต่เราถ่ายมาได้แค่เนี๊ยะ...ใครอยากเห็นความอลังการต้องไปดูด้วยตาตนเองค่ะ. |
ตอนนี้ป้อมเป็นวัด มีพระจำวัดอยู่แต่ไม่ได้ถามไกด์ว่าเยอะหรือเปล่า วัดนี้สนับสนุนโดยรัฐบาล พระที่นี่ไม่บิณฑบาต. |
ชุดประจำชาติผู้ชายที่นี่เรียกว่า โก๊ะ (Kho https://en.wikipedia.org/wiki/Kho_(costume)) |
เนื้อตากแห้ง วิธีถนอมอาหารเก็บไว้ทาน - ภาพนี้ถ่ายหน้าพาโรซ็อง |
หลังจากเดินชมพาโรซ็องโดยทั่วแล้วก็นั่งรถไปโรงแรม ผ่านเด็กๆ กำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน เด็กนักเรียนที่นี่แต่ชุดประจำชาติไปโรงเรียน สวยงามมากๆ คิดถึงบ้านเราให้แต่เฉพาะวันศุกร์ เสียดายวัฒนธรรมของเรากำลังเลือนหายไปทุกที เห็นคนบ้านเรากลุ่มหนึ่งพยายามดึงวิถีไทยกลับมาโดยการรณรงค์ใส่ผ้าซิ่น ใส่ชุดพื้นเมืองประจำภาคของไทยก็ทำให้รู้สึกปลื้มปิติ ว่าแต่เขาเรายังใส่ยีนส์อยู่เลย 5555
ขับรถต่อไปยังที่พัก... ถนนทางเข้าเป็นถนนดินและหินเป็นหลุมเป็นบ่อ เริ่มตระหนักแล้วว่าชีวิตช่วงที่ท่องเที่ยวในภูฏานอาจไม่สะดวกสบายอย่างที่จินตนาการ.... โรงแรมที่เข้าพักวันนี้คือ Naksel Boutique Hotel & Spa http://www.naksel.com/ พอเช็คอินแล้วเข้าห้องก็ตะลึงงึงงัน, มันช่างต่างจากถนนเข้าโรงแรมดั่งฟ้ากับเหว.... ห้องพักกว้างขวางถูกใจมากมาย, วิวสวยงามประทับใจ มี Wifi ไม่แรงค์เหมือนที่บ้านแต่ก็ไม่เต่าจนเกินไป ในห้องมีฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่นเพราะข้างนอกอากาศค่อนข้างหนาว
พักผ่อนจนหกโมงครึ่งจึงไปรวมตัวกับเพื่อนร่วมกลุ่มที่ห้องอาหารของโรงแรม วันนี้เป็นวันเกิดของ Rosie หนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มเรา มีการร้องเพลงวันเกิดและเป่าเค้ก..น่ารักดี อาหารเป็นบุฟเฟ่ท์ สรุปว่าอาหารเกือบทั้งทริปเป็นบุฟเฟ่ท์ มื้อไหนแปลกแตกต่างออกไปจะบอกว่าเราทานอะไรเป็นพิเศษ... ทานเสร็จก็กลับห้อง อาบน้ำนอน เพราะพรุ่งนี้ตื่นตีสาม เพื่อเดินทางไป Taktsang หรือ Tiger's nest หรือวัดถ้ำเสือนั่นเอง
ขับรถไปโรงแรมผ่านเด็กนักเรียนเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน, ขอถ่ายรูป เขาก็ให้ถ่าย น่ารักมากๆ |
ถึงโรงแรม พนักงานต้อนรับเอาผ้าไหมมาคล้องต้อนรับ |
เตียงนอนนุ่มสบาย จะเป็นที่นอนของเราสองคืนในช่วงที่เที่ยวเมืองพาโร |
โซนนั่งพักผ่อนและโต๊ะทำงาน เราจัดคอมพิวเตอร์ให้พอลได้ใช้พิมพ์บันทึกท่องเที่ยวของหล่อน |
ห้องน้ำ แนวสปา สบู่สปาหอมมากๆ แต่แชมพูเราพกไปเองเพราะใช้แต่รีจอยส์ ใช้แชมพูตามโรงแรมแล้วผมกระด้าง |
ที่จริงนั่งในห้องก็เห็นวิว แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศก็ต้องออกไปนั่งที่ระเบียง. |
วิวถ่ายจากระเบียง, อาคารตรงกลางภาพเป็น Lobby และห้องอาหาร. สปาอยู่ด้านซ้ายมือ ต้นไผ่บังอ่ะ |
Guide - Robin
Driver - L.Dorji
Stay - Naksel Boutique Hotel & Spa
ขอจบบล๊อกเที่ยวภูฏานวันแรกไว้แค่นี้...จะทะยอยเขียนบล๊อกให้จบค่ะ.
ข้อมูลเพิ่มเติม
- Thimphu เป็นเมืองหลวงของประเทศภูฏานแต่ไม่มีสนามบิน ผู้โดยสารที่จะไปทิมพูต้องบินไปลงที่พาโรแล้วนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 50 กิโลเมตร ทั้งนี้เพราะถนนแคบและคดเคี้ยวจึงต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งในการนั่งรถเลยทีเดียว
- เงินที่นี่สกุลคือ Ngultrum หรือเรียงง่ายๆ ว่า Nu. 1 Nu มีค่าประมาณ 50 สตางค์
No comments:
Post a Comment