Tuesday, April 12, 2016

2016-04-12 Bhutan trip -- Bangkok to Paro

วันที่ 1


ตั้งปลุกและ Morning call ตอนตี 3  แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ตื่นก่อนอยู่ดี...  อาบน้ำแต่งตัวแล้วขนกระเป๋าลงไปทานอาหารเช้า  แต่มันไม่ใช่เวลาเลยกินได้แค่ผลไม้ 2-3 ชิ้น  จากนั้นไปรอหน้าโรงแรม ขึ้น shutter bus ไปลงสนามบิน  นั่งรถ 5 นาทีก็ถึง  แล้วทั้งกลุ่มก็พากันขึ้นไปชั้น 4 เพื่อเช็คอิน... ยืนต่อแถวนานมากๆ  มีกลุ่มคนไทยไปเที่ยวภูฏานเยอะมากๆ  ตอนแรกคิดว่า Robin ซึ่งเป็นไกด์จะเช็คอินให้  แต่ทั้งกลุ่มต้องไปยืนต่อแถว พอถึงคิวพวกเรา Robin ก็ไปคุยที่เคาน์เตอร์ให้เขาเช็คอินแบบกลุ่ม พนักงานหน้างงๆ แล้วไปถามซุปเปอร์ไวท์เซอร์  และก็เช็คอินให้  ที่จริงไม่ต้องให้พวกเราไปเข้าแถวก็ได้นะเนี๊ยะ

Lobby โรงแรม Novotel Suwannaphum ตอนตีสามครึ่ง
แกงค์สูงวัยใจเกินร้อย

เครื่องออกตอน 7:00 โมงเช้า  ตอนขึ้นเครื่องเขาประกาศว่าจะแวะส่งผู้โดยสารที่ Dhaka ประเทศบังคลาเทศ  แต่เอาเข้าจริงๆ กลับไปจอดที่สนามบิน Bagdogra, ซึ่งอยู่ใน Darjeeling ประเทศอินเดีย... งงๆ  หลังจากผู้โดยสารบางส่วนลง ก็มีผู้โดยสารใหม่ขึ้น อารมณ์ประมาณรถทัวร์ไปกรุงเทพฯ  เครื่องบินต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็ลงจอดสนามบินนานาชาติพาโร ตอน 9 โมง 50 นาที  เวลาที่ภูฏานช้ากว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง  ร่างกายจึงไม่ต้องปรับเวลาอะไรเหมือนตอนเดินทางไปอเมริกา.

ลงจากเครื่องก็สัมผัสได้ถึงความเย็นสบายประมาณ 20 องศาเซลเซียส  แต่แดดที่นี่แรงมากๆ จึงให้ไม่รู้สึกหนาวเลย.  แล้วผู้โดยสารทั้งหมดก็พากันเดินไปอาคารผู้โดยสาร ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง  Robin ส่งวีซ่ามาให้ทางอีเมลตั้งแต่เดือนก่อนซึ่งเราต้องพิมพ์และเตรียมมาเอง  พิธีการที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองนี่ง่ายและเร็วมาก  ทั้งนี้เพราะการจำกัดคนเข้าเมืองทำให้คนที่จะมาถึงขั้นตอนนี้ต้องมีวีซ่าพร้อมอยู่แล้ว  จึงไม่ต้องตรวจตราอะไรมากมาย


ปกติจะตื่นเก้าโมงกว่า  นานๆทีจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น... มันเป็นอะไรที่สวยงามมากๆ
อาหารเช้าบนเครื่อง ไม่อร่อยเอามากๆ  เสียดายที่ไม่กินอาหารมาจากโรงแรม
อยากถ่ายโลโก้สายการบินดรุกแอร์โดยมี Paro Dzong (ป้อมพาโร) เป็นแบล็คกรวาน์  แต่รถบรรทุกมาแย่งซีน
ผู้โดยสารต้องเดินจากเครื่องไปอาคารด่านตรวจคนเข้าเมือง  ซึ่งอยู่ไม่ไกล
เหมือนสนามบินทุกที่ คือเดินออกมาก็มีคนมารอรับผู้โดยสารเต็มไปหมด

มีรถมารับ 7 คัน  ทั้งนี้เพราะมี 4 คนที่เดินทางมาเที่ยว 2 วันก่อนทัวร์จะเริ่ม  เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราจึงยังไม่เข้าที่พัก  แต่ไปเที่ยวในเมืองพาโรก่อน  ที่แรกที่จอดคือสนามแข่งยิงธนู  การแข่งขันจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย  ถ้าฝ่ายไหนยิงเข้าเป้าตามธรรมเนียมจะมีการร้องและเต้นเพื่อประกาศศักดาและข่มขวัญฝ่ายตรงกันข้าม  การแข่งขันยิงธนูเป็นกีฬาประจำชาติของภูฏาน.


เป้ามีสองฝั่งซึ่งอยู่ไกลกัน 145 เมตร ส่วนเป้าสูง 3 ฟุต กว้างแค่ 28 เซ็นติเมตร กลางเป้าทาด้วยสีสดใสให้เห็นชัด
นักกีฬาในดวงใจเค๊อะ...
อันนี้ป้ายโฆษณาหนังติดหน้าทางเข้าสนามยิงธนู

ชมการแข่งขันยิงธนูสักพักก็เริ่มเบื่อ เพราะมันไม่เร้าใจเท่ากับดูมวยไทยที่นักมวยกล้ามเป็นมัดๆ กอดรัดฟัดเหวี่ยงเข่าศอกสารพัดเห็นแล้วเปรี้ยวปาก...อร๊าย...เข้าเรื่องค่ะ...เข้าเรื่อง.... ออกจากสนามยิงธนูก็มีเป้าหมายอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภูฏาน  พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในปี คศ.1968 โดยใช้ป้อมสังเกตุการณ์โบราณชื่อ Ta Dzong มาซ่อมแซมปรับปรุงให้เป็นพิพิธภัณฑ์  แต่เนื่องจากเกิดแผ่นดินไหวหลายครั้ง ทำให้ต้องซ่อมแซมฐานที่มีรอยแยก  ดังนั้นทางพิพิธภัณฑ์จึงย้ายวัตถุโบราณมาจัดแสดงที่อาคารสำนักเป็นการชั่วคราว  ซึ่งคาดว่าการซ่อมแซมอาคาร Ta Dzong จะเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนธันวาคม 2016 ที่จะถึงนี้ (ข้อมูลจากเวปไซด์ของพิพิธภัณฑ์ http://www.nationalmuseum.gov.bt/ )  ตอนเข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป  ซึ่งก่อนเข้าจะต้องฝากกล้องและกระเป๋าไว้ในล๊อคเกอร์  เข้าไปก็นั่งชมวีดีทัศน์ประวัติความเป็นมาของประเทศ, ชนเผ่าในภูฏาน... แล้วก็เดินชมพิพิธภัณฑ์โดยรอบ


ขับรถข้ามแม่น้ำพาโร (Paro Chu) คำว่า Chu แปลว่า แม่น้ำ, น้ำดื่ม
ขับรถขึ้นเนินเขา  มีการซ่อมถนนเป็นช่วงๆ คนงานโดยมากมาจากอินเดีย
แวะจุดชมวิว  อาคารที่เห็นเป็นสนามบิน  ส่วนอาคารหลังใหญ่ที่เนินเขาด้านหลังเป็น Paro Dzong
ศาลาล้อสวดมนต์ - Prayer Wheel (อันนี้ตั้งชื่อเองไม่รู้ว่าคนอื่นเรียกว่าอย่างไรนะ) มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
L.Dorji คนขับรถซื้อตั๋วเข้าชมพิพิธภัณฑ์
อาคารสำนักงานซึ่งตอนนี้จัดแสดงโบราณวัตถุจนถึงสิ้นปีนี้ แล้วจะย้ายกลับไปจัดแสดงที่ Ta Dzong
ป้ายห้องน้ำชาย...ตอนแรกก็งงๆ คิดว่าเป็นห้องน้ำหญิงเพราะไม่ได้อ่าน, ดูรูปแล้วมโนไปเอง
ป้ายห้องน้ำหญิง
Ta Dzong เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์แต่ปิดซ่อมแซม  จะซ่อมเสร็จและเปิดใช้อีกครั้งเดือนธันวาคม 2016
วิวเมืองพาโรถ่ายจากพิพิธภัณฑ์  จะเห็นแม่น้ำพาโรไหลผ่านกลางเมืองเลยทีเดียว

ชมพิพิธภัณฑ์เสร็จก็ขับรถเข้าเมืองเพื่อไปรวมกลุ่มกันทานอาหารกลางวัน  ที่ใช้คำว่ารวมกลุ่มเพราะตอนไปเที่ยวนี่มีคนขับรถและไกด์ส่วนตัว  ใครอยากไปไหนก็ตามอัธยาศัย  ไม่ต้องมารอกัน  แต่เวลาทานอาหารนี่จะเป็นเวลาที่ทั้งทัวร์จะมารวมกลุ่มทานอาหารและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าใครไปไหนมาบ้าง... และเพื่อความเท่าเทียมจึงวนเปลี่ยนไกด์และคนขับให้นักท่องเที่ยวแต่ละคู่.  อาหารมื้อแรกเป็นร้านอาหารอยู่ชั้นสองของร้านขายของ  อาหารเป็นบุฟเฟท์  รสชาดอาหารคล้ายๆ กับอาหารไทยแต่จืดกว่า  แต่ถ้าใครอยากทานเผ็ดก็จะมีพริกผัดชีทมาให้  แต่เผ็ดก็แค่เด้าปากค่ะ ไม่เผ็ดร้อนและอยู่ทนเหมือนเผ็ดแบบอาหารไทย  เราสั่งเบียร์มา 1 ขวด  รสชาดจืดกว่าเบียร์ไทยมาก  ราคา 250 Nu หรือประมาณ 125 บาท.

ร้านนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร  แต่ดูเหมือนจะเป็นร้านยอดฮิต  มีนักท่องเที่ยวหลายกลุ่มมาทานที่นี่  รวมถึงกลุ่มคนไทยที่นั่งโต๊ะข้างๆ นั่งทานกันเงียบมากๆ คุยกันเล็กน้อย  เราได้ยินเขาคุยกันเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปต่อ อะไรทำนองนั้น อิ..อิ..


ร้านอาหาร Yue-Ling อยู่ชั้นสองของอาคารนี้ บันไดขึ้นอยู่ด้านหลัง
Druk 11000 เบียร์ยอดฮิตเพราะมีคำว่า Strong สีทองอยู่ที่คอขวดค่ะ
พริกผัดชีท เผ็ดอร่อยไม่เลี่ยน  เราเตรียมแจ่วบ่องไปแต่ไม่เคยได้เปิดกระปุก...ให้ไกด์ไปตอนจบทริป

ทานเสร็จ  ก็แยกย้ายกันไปเที่ยวต่อ  จุดหมายช่วงบ่ายของเราคือ Paro Dzong.  ที่จริงชื่อของป้อมนี้ คือ Rinpung Dzong แต่คนคงเรียกติดปากว่า พาโรซ็อง เพราะเป็นป้อมใหญ่อยู่ในเมืองพาโร (อันนี้คิดเอาเองค่ะ). Paro Dzong สร้างในศตวรรษที่ 16 ใช้เป็นป้อมปราการ  ในปัจจุบันกลายเป็น Buddhist Monastery หรือที่ชาวภูฏานเรียกว่า Gompa หรือวัดที่มีพระจำพรรษานั่นเอง  สิ่งที่ทำให้พาโรซ็องมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกอีกประการคือ เมื่อปี 1993 ภาพยนตร์ฮอลลี่วู้ดเรื่อง Little Buddha ได้ใช้ซ็องนี้เป็นสถานที่ถ่ายทำ (ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Rinpung_Dzong )  ข้อมูลที่เขียนมาจากไกด์  ซึ่งบางครั้งเราก็ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกต้องหรือเปล่า  ทำให้ตอนเขียนต้องค้นหาข้อมูลมาประกอบด้วยอีกทาง


Rinpung Dzong หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ Paro Dzong
ซูมประตูทางเข้าวัด, เสียงดายเลนส์เราซูมสูงสุดได้แค่ 135mm. มีเพื่อนร่วมทริปคนหนึ่งเอาเลนส์ซูม 700mm. มาใช้..สุดยอด
ประตูทางเข้าถ่ายจากด้านใน.  ภาพนี้ถ่ายเกือบยี่สิบรูป  ไกด์ขอให้เณรเดินผ่านประตู 3 ครั้ง...เราเหวอไปเลย...
ไกด์ Robin นำเที่ยวภูฏานครั้งที่ 32 แล้ว... ที่จริงเขาเป็นช่างถ่ายภาพก่อนผันตัวมาเป็นไกด์ 
ของจริงสวยงามมากๆ แต่เราถ่ายมาได้แค่เนี๊ยะ...ใครอยากเห็นความอลังการต้องไปดูด้วยตาตนเองค่ะ.
ตอนนี้ป้อมเป็นวัด มีพระจำวัดอยู่แต่ไม่ได้ถามไกด์ว่าเยอะหรือเปล่า  วัดนี้สนับสนุนโดยรัฐบาล  พระที่นี่ไม่บิณฑบาต.
ชุดประจำชาติผู้ชายที่นี่เรียกว่า โก๊ะ (Kho https://en.wikipedia.org/wiki/Kho_(costume))
เนื้อตากแห้ง วิธีถนอมอาหารเก็บไว้ทาน - ภาพนี้ถ่ายหน้าพาโรซ็อง

หลังจากเดินชมพาโรซ็องโดยทั่วแล้วก็นั่งรถไปโรงแรม ผ่านเด็กๆ กำลังเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน  เด็กนักเรียนที่นี่แต่ชุดประจำชาติไปโรงเรียน  สวยงามมากๆ คิดถึงบ้านเราให้แต่เฉพาะวันศุกร์  เสียดายวัฒนธรรมของเรากำลังเลือนหายไปทุกที  เห็นคนบ้านเรากลุ่มหนึ่งพยายามดึงวิถีไทยกลับมาโดยการรณรงค์ใส่ผ้าซิ่น ใส่ชุดพื้นเมืองประจำภาคของไทยก็ทำให้รู้สึกปลื้มปิติ  ว่าแต่เขาเรายังใส่ยีนส์อยู่เลย 5555

ขับรถต่อไปยังที่พัก... ถนนทางเข้าเป็นถนนดินและหินเป็นหลุมเป็นบ่อ  เริ่มตระหนักแล้วว่าชีวิตช่วงที่ท่องเที่ยวในภูฏานอาจไม่สะดวกสบายอย่างที่จินตนาการ.... โรงแรมที่เข้าพักวันนี้คือ Naksel Boutique Hotel & Spa http://www.naksel.com/  พอเช็คอินแล้วเข้าห้องก็ตะลึงงึงงัน, มันช่างต่างจากถนนเข้าโรงแรมดั่งฟ้ากับเหว.... ห้องพักกว้างขวางถูกใจมากมาย, วิวสวยงามประทับใจ มี Wifi ไม่แรงค์เหมือนที่บ้านแต่ก็ไม่เต่าจนเกินไป  ในห้องมีฮีทเตอร์ให้ความอบอุ่นเพราะข้างนอกอากาศค่อนข้างหนาว

พักผ่อนจนหกโมงครึ่งจึงไปรวมตัวกับเพื่อนร่วมกลุ่มที่ห้องอาหารของโรงแรม  วันนี้เป็นวันเกิดของ Rosie หนึ่งในนักท่องเที่ยวกลุ่มเรา  มีการร้องเพลงวันเกิดและเป่าเค้ก..น่ารักดี  อาหารเป็นบุฟเฟ่ท์  สรุปว่าอาหารเกือบทั้งทริปเป็นบุฟเฟ่ท์  มื้อไหนแปลกแตกต่างออกไปจะบอกว่าเราทานอะไรเป็นพิเศษ...  ทานเสร็จก็กลับห้อง อาบน้ำนอน  เพราะพรุ่งนี้ตื่นตีสาม เพื่อเดินทางไป Taktsang หรือ Tiger's nest หรือวัดถ้ำเสือนั่นเอง


ขับรถไปโรงแรมผ่านเด็กนักเรียนเดินกลับบ้านหลังเลิกเรียน, ขอถ่ายรูป เขาก็ให้ถ่าย น่ารักมากๆ
ถึงโรงแรม พนักงานต้อนรับเอาผ้าไหมมาคล้องต้อนรับ
เตียงนอนนุ่มสบาย จะเป็นที่นอนของเราสองคืนในช่วงที่เที่ยวเมืองพาโร
โซนนั่งพักผ่อนและโต๊ะทำงาน เราจัดคอมพิวเตอร์ให้พอลได้ใช้พิมพ์บันทึกท่องเที่ยวของหล่อน
ห้องน้ำ แนวสปา  สบู่สปาหอมมากๆ  แต่แชมพูเราพกไปเองเพราะใช้แต่รีจอยส์  ใช้แชมพูตามโรงแรมแล้วผมกระด้าง
ที่จริงนั่งในห้องก็เห็นวิว แต่ถ้าอยากได้บรรยากาศก็ต้องออกไปนั่งที่ระเบียง.  
วิวถ่ายจากระเบียง, อาคารตรงกลางภาพเป็น Lobby และห้องอาหาร.  สปาอยู่ด้านซ้ายมือ ต้นไผ่บังอ่ะ

Guide - Robin
Driver - L.Dorji
Stay - Naksel Boutique Hotel & Spa

ขอจบบล๊อกเที่ยวภูฏานวันแรกไว้แค่นี้...จะทะยอยเขียนบล๊อกให้จบค่ะ.

ข้อมูลเพิ่มเติม 
Thimphu เป็นเมืองหลวงของประเทศภูฏานแต่ไม่มีสนามบิน  ผู้โดยสารที่จะไปทิมพูต้องบินไปลงที่พาโรแล้วนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 50 กิโลเมตร  ทั้งนี้เพราะถนนแคบและคดเคี้ยวจึงต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งในการนั่งรถเลยทีเดียว
- เงินที่นี่สกุลคือ Ngultrum หรือเรียงง่ายๆ ว่า Nu. 1 Nu มีค่าประมาณ 50 สตางค์

No comments:

Post a Comment